อดีต นศ.แจ้งความกลับ อธิการฯ ม.ดัง แจ้งความเท็จ กลั่นแกล้ง หลัง 2 ศาลยกฟ้อง ทำตกเป็นจำเลยสังคม ถูกเกลียดชัง สู้มา 2 ปีจนเป็นผู้บริสุทธิ์
วันที่ 6 ก.ย.67 นายต่อพงษ์ จีนใจน้ำ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋นบุรีรัมย์ ได้พา น.ส.อัมรา จานรัมย์ อายุ 23 ปี อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.ท.ตรัยภูมิ นิธิชิษณุพงศ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองบุรีรัมย์ ให้ดำเนินคดีกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พร้อมผู้ช่วยอธิการบดีฯ และอาจารย์ รวมทั้งหมด 3 คน ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวน และเบิกความเท็จต่อศาล
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 ม.ค.64 อธิการบดีฯ ได้มอบอำนาจให้รองอธิการฯ ไปแจ้งความ น.ส.อัมรา ซึ่งขณะนั้นยังเป็น นศ.อยู่ โดยกล่าวหาว่า น.ส.อัมรา มีส่วนร่วมกับนักศึกษาอีก 4 คน กระทำการหมิ่นประมาทด้วยการนำป้ายผ้าที่มีข้อความในลักษณะหมิ่นประมาท ว่าอธิการมีพฤติกรรมไม่โปร่งใส และถ่ายภาพป้ายผ้าไปโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก “บุรีรัมย์ปลดแอก” ซึ่งเป็นเพจสาธารณะ ทำให้ น.ส.อัมรา และ นศ.อีก 4 คน รวม 5 คน ตกเป็นผู้ต้องหา และจำเลยในคดี โดยโจทย์อ้างอิงเพียงภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดขณะ นศ.ผู้หญิงเดินอยู่ในมหาวิทยาลัยเป็นหลักฐานในการแจ้งความ และอาจารย์ซึ่งไม่เคยสอน น.ส.อัมรา เป็นคนชี้ยืนยันว่าบุคคลในภาพเป็น น.ส.อัมรา
น.ส.อัมรา กล่าวว่า หลังจากถูกแจ้งความกล่าวหา ตนก็ยืนยันกับตำรวจตลอดว่า ไม่เคยมีส่วนร่วมในการกระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา และบุคคลในภาพก็ไม่ใช่ตัวเอง โดยภาพที่เขานำมาอ้างเป็นหลักฐานสวมใส่ชุดธรรมดา แต่วันนี้ตนสวมชุดนักศึกษาและนั่งสอบอยู่ในห้อง ก็มีทั้งหัวหน้าห้อง เพื่อนห้องเดียวกัน และอาจารย์ที่คุมสอบเป็นพยานให้ ที่สำคัญจำเลยที่ 2 และ 5 ซึ่งเป็น นศ.ที่ยอมรับว่าเป็นคนนำป้ายผ้าไปติด ก็ยืนยันว่าตนเอง ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำครั้งนั้น และภาพที่ปรากฏในวงจรปิดก็เป็นหนึ่งในจำเลยเอง ซึ่งตนก็ได้ร้องขอความเป็นธรรมในชั้นอัยการด้วย แต่ก็มีการสั่งฟ้อง จนต้องต่อสู้ในชั้นศาลนานกว่า 2 ปี และทั้งศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้องว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้มีส่วนร่วมกระทำตามที่ถูกกล่าวหา แต่กรณีที่เกิดขึ้นทำให้ได้รับผลกระทบทั้งต่อการเรียน สภาพจิตใจเป็นอย่างมากถูกอาจารย์กดดันต่อว่ามาตลอด ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ที่มาแจ้งความวันนี้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเอง เอาผิดคนที่กล่าวหาทำให้เสียหาย
ด้าน นายต่อพงษ์ ระบุว่า น้องได้ร้องไปที่เพจของ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณีที่ถูกอธิการบดี และพวก แจ้งความกล่าวว่าทั้งที่ไม่ได้กระทำผิด จึงได้มอบหมายให้ตน ซึ่งเป็นที่ปรึกษาฯ สอบถามข้อเท็จจริงและให้น้องไปคัดคำพิพากษาศาล ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานของโจทย์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอยืนยันได้ว่าน้องเป็นผู้กระทำความผิด
เท่าที่ตรวจสอบพยานหลักฐานที่โจทย์นำไปแจ้งความและขึ้นสู่ศาล มีเพียงภาพจากกล้องวงจรปิด และอาจารย์คนหนึ่งไประบุว่าเป็นน้องอั้ม ซึ่งอาจารย์คนดังกล่าวยังไปเบิกความยืนยันในศาลด้วย คดีนี้หากพนักงานสอบสวนตรวจพิเคราะห์ให้ดี จะเห็นว่าภาพที่นำไปเป็นหลักฐานแจ้งความ ในภาพเป็นผู้หญิงผมสั้น แต่น้องที่ถูกกล่าวหาไว้ผมยาวมาโดยตลอด ทำให้น้องตกเป็นผู้ต้องหาและเป็นจำเลยทั้งที่ไม่ได้กระทำผิด โดยตัวน้องเองก็ยืนยันกับพนักงานสอบสวน และชั้นอัยการมาตลอดว่าภาพดังกล่าวไม่ใช่ตัวน้อง และคนที่ปรากฎในภาพก็รับสารภาพว่าเป็นตัวเขาเองแล้ว ที่สำคัญมีหนังสือยืนยันจากอาจารย์ว่าน้องเข้าสอบใส่ชุดอะไร น้องก็ได้ร้องขอความเป็นธรรมในชั้นอัยการด้วย กระทั่งถึงชั้นศาล ศาลก็ให้ความเป็นธรรมยกฟ้อง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องมันส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและสภาพจิตใจ โดยเฉพาะตอนนั้นน้องยังศึกษาอยู่ก็ถูกกดดันอย่างหนัก ทั้งถูกอาจารย์เรียกไปตำหนิ ต้องเรียนด้วยความกดดันมาตลอดกว่าจะจบ ที่สำคัญน้องต้องขึ้นโรงพัก เสียทั้งเวลา ค่าใช้จ่าย ต่อสู้คดีกว่าจะได้รับความเป็นธรรม หลังศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ยกฟ้องเพราะน้องเป็นผู้บริสุทธิ์ จึงมาแจ้งความกลับทั้งอธิการบดี ผู้รับมอบอำนาจ และอาจารย์ที่เป็นคนยืนยันกับตำรวจ และเบิกความในชั้นศาลกล่าวหาน้อง ฐานแจ้งความอันเป็นเท็จ เบิกความเท็จ และมีการกลั่นแกล้งให้น้องต้องรับโทษทางอาญาด้วยหรือไม่ เพื่อเป็นการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง ทั้งจะมีการฟ้องแพ่งเพื่อเยียวยาค่าเสียหายด้วย
ขณะที่ทนายอั๋น กล่าวว่า ก่อนอื่นก็ขอชื่นชมหัวใจของน้องที่พยายามยืนยันพิสูจน์ความบริสุทธิ์ มาตลอดตั้งแต่ชั้นตำรวจ ผ่านกระบวนการอัยการ และต่อสู้ในชั้นศาล ทั้งที่น้องเป็น นศ. ต้องสู้กับอาจารย์ที่เป็นผู้ให้ ผู้เติมเต็ม ซึ่งตอนนั้นหากน้องเลือกที่จะไปขอโทษเพื่อให้จบเรื่องไปก็สามารถทำได้ แต่น้องเลือกที่เข้าสู่กระบวนการเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์และปกป้องชื่อเสียงเกียรติยศของตัวเอง ก็ขอบคุณกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะในชั้นศาล ซึ่งตนก็จะเข้ามาช่วยดูคดีของน้องในฐานะที่เป็นผู้เสียหาย เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมด้วย