สูญเกือบแสนล้าน! ทลายแก๊งคอลฯ ข้ามชาติรายใหญ่ เช่าคฤหาสน์ตั้งฐานในไทย ตุ๋นคนออสซี่ พบแก๊งนี้ทำมาแล้ว 20 ปี หัวโจกหนีเข้าไทย

วันที่ 17 มิ.ย. 2568 ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) พร้อมด้วย Ms.Kristie -Lee Cressy Senior Officer เจ้าหน้าที่อวุโส Australia Federal Police (AFP), พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา รองผบก.ปทส., พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รองผบก.ตม.3, พ.ต.อ.สมบัติ มาลัย ผกก.(สอบสวน)ฯ รรท.ผกก.1บก.ปทส., พ.ต.ท.เอกพล ปัญจมานนท์ รองผกก.1 บก.ปทส. และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม

ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ Firestorm ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จับกุมชาวต่างชาติ 13 ราย ประกอบด้วยสัญชาติออสเตรเลีย 5 ราย, บริติช 6 ราย, แคนาดา 1 ราย, แอฟริกาใต้ 1 ราย พร้อมของกลางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเอกสาร อาทิ คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์เน็ตเวิร์ก, โน้ตบุ๊ก, สคริปต์การพูดชักชวนลงทุน และโทรศัพท์มือถือ รวม 58 รายการ

จับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ

ในข้อหาอั้งยี่, เป็นคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวประกอบอาชีพหรือรับจ้างทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน โดยจับกุมได้ที่บ้านพัก หมู่ 9 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดยผู้เสียหายทั้งหมดเป็นชาวออสเตรเลีย จำนวนกว่า 14,000 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 40 ล้านบาท

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ AFP สืบสวนพบกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นขบวนการกระทำความผิดหลอกลวงประชาชนในประเทศออสเตรเลียได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทย และจัดตั้ง Boiler room (คอลเซ็นเตอร์) ในประเทศไทย เพื่อหลอกลวงประชาชนชาวออสเตรเลียให้ร่วมลงทุนพันธบัตร

โดยอ้างว่าให้ผลตอบแทนสูงและกำหนดระยะเวลาในการคืนทุนเป็นระยะเวลา ประมาณ 1-3 ปี ให้ผลตอบแทนแบบคงที่ ร้อยละ 7-10 ต่อปี จึงได้ขอความร่วมมือมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมและได้ร่วมกันทำการสืบสวนในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ แก๊งนี้มีการทำมาแล้ว 20 ปี ได้จับกุมครั้งล่าสุดได้ที่ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนที่หัวหน้าแก๊งที่เป็นชาวบริติชและออสเตรเลีย จะหลบหนีมายังประเทศไทย

จากการตรวจสอบและติดตามพฤติกรรมของขบวนการดังกล่าวพบว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวเข้ามาอยู่ที่พัทยาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ต่อมาย้ายมาอยู่กรุงเทพมหานคร โดยตัวการหลักมีการนัดพบที่โรงแรมแห่งหนึ่ง บน ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพฯ

ภายหลังจึงสะกดรอยติดตามดูพฤติกรรมของกลุ่มขบวนการดังกล่าวจนพบว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้เดินทางไปยังบ้านพัก ใน จ.สมุทรปราการ จึงตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีการลงประกาศขายในราคา 70 ล้านบาท หรือให้เช่าเดือนละ 120,000 บาท

โดยมีประกาศพร้อมผู้เช่าถึงเดือน ม.ค. 2569 พื้นที่ดังกล่าวมีขนาดประมาณ 1 ไร่ มีรั้วรอบขอบชิด บริเวณหน้าบ้านเป็นซอยตัน ซึ่งเป็นบ้านหลังสุดท้ายในซอย หน้าบ้านมีกล้องวงจรปิดจำนวน 1 ตัว โรงจอดรถมีผ้าใบกั้น และมีคนเปิด-ปิด ผ้าใบ ขณะรถเข้า-ออกจากบ้านหลังดังกล่าว

เช่าคฤหาสน์หรู ตั้งฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จากการเฝ้าสังเกตการณ์บ้านพักหลังดังกล่าวพบว่า มีรถเข้าตั้งแต่เวลาประมาณ 05.00 น. และ จะออกในเวลาประมาณ 15.30 น. ซึ่งตรงกับเวลาทำงานเมืองซิดนีย์ คือ 09.00 เลิก 18.00 พบรถยนต์เข้า- ออกบ้านหลังดังกล่าวหลายคัน มีพฤติการณ์คือช่วงเวลาประมาณ 05.00 น. ขณะที่รถยนต์จำนวน 4 คัน ขับเข้ามาในบ้านจะมีคนดูแลบ้านคอยเปิดม่านโรงจอดรถ

เมื่อรถเข้ามาจอดภายในโรงจอดรถแล้ว จะทำการปิดม่านลงเพื่อไม่ให้เห็นคนในรถ หลังจากนั้นเวลาประมาณ 15.30 น. เมื่อรถต้องการจะออกจากบ้าน คนดูแล บ้านจะทำการเปิดม่านให้รถยนต์ทยอยออก และปิดม่านไว้ตามเดิมในลักษณะปกปิดพฤติกรรมของผู้พักอาศัย และผู้เข้า-ออกบ้านหลังดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงขอศาลอาญาออกหมายค้น เพื่อเข้าตรวจค้นบ้านพัก ม.9 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ต่อมาวันที่ 16 มิ.ย.68 เวลาประมาณ 08.30 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้เข้าตรวจค้น พบชาวต่างชาตินั่งอยู่ภายในห้องโถงชั้น 1 ของบ้านในลักษณะมีแผงกั้นระหว่างบุคคลคล้ายสำนักงาน

ขณะเข้าทำการตรวจค้นผู้ต้องหาได้อยู่ในลักษณะกำลังโทรศัพท์อยู่ทุกโต๊ะ มีเครื่องคอมพิวเตอร์, โน๊ตบุ๊ค, โทรศัพท์มือถือ, เอกสารข้อความต่างๆ, สคริปต์การพูดคุย, เอกสารที่ปรากฏข้อความเกี่ยวกับข้อมูลบริษัทฯ และพันธบัตรที่ขบวนการดังกล่าวชักชวนลงทุน ซึ่งอ้างว่ามีบริษัทฯ อยู่จริงในต่างประเทศ

ภายในคอมพิวเตอร์พบข้อมูลรายชื่อบุคคลชาวออสเตรเลียอีกกว่า 14,000 ราย ซึ่งขณะนี้สำนักงานตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลียอยู่ระหว่างตรวจสอบ โดยมีการยืนยันแล้วว่ารายชื่อบางส่วนถูกขบวนการดังกล่าวหลอกลวงจริง จากการตรวจสอบในเบื้องต้น พบความเสียหายมากกว่า 2 ล้านเหรียญออสเตรเลีย (ประมาณ 42 ล้านบาท)

จากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางของผู้ต้องหาทั้งหมดจากระบบสารสนเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่าผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเพื่อทำงาน จากการสอบถามใบอนุญาตการทำงานของผู้ต้องหาฯ ทั้งหมด รับว่าไม่ได้รับอนุญาตฯ ในการทำงานหรือมีใบอนุญาตทำงานแต่อย่างใด และไม่สามารถนำมาแสดงแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้

เบื้องต้นกลุ่มผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ และให้การว่ามีเพื่อนชักชวนและพบเห็นประกาศหางานผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อเข้ามาทำงานที่บริษัทแห่งนี้ โดยมีค่าตอบแทนประมาณ 3,000 เหรียญออสเตรเลีย (ประมาณ 6.4 หมื่นบาท) และมีค่าคอมมิชชั่นร้อยละ 2.5 จากการทำงาน มีหน้าที่ทำงานโทรชักชวนลูกค้าตามรายชื่อให้มาร่วมลงทุนกับบริษัทฯ

โดยมี Mr.Mark Dennis อายุ 54 ปี สัญชาติออสเตรเลีย และMr.Mark Andrew Howship อายุ 56 ปี สัญชาติบริติช 2 ใน 13 ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว เป็นหัวหน้าขบวนการ

ด้าน พ.ต.อ.เพลิน กล่าวว่า จากการตรวจสอบทั้ง 13 รายเดินผ่านเข้ามาด้วยวีซ่าแตกต่างกัน ทั้ง 13 รายยังไม่ได้อยู่เกินกำหนดหรือโอเวอร์สเตย์ หลังจากนี้จะเพิกถอนวีซ่าและขึ้นแบล็กลิสต์เพื่อไม่ให้สามารถกลับเข้ามาในราชอาณาจักรได้อีก

Ms.Kristie กล่าวว่า ที่ผ่านมาผู้เสียหายในประเทศออสเตรเลียมีจำนวนเยอะ โดยเฉพาะช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพบมูลค่าความเสียหายกว่า 4.45 พันล้านเหรียญออสเตรเลีย (ประมาณ 9.47 หมื่นล้านบาท) โดยมีการฟอกเงินผ่านช่องทางคริปโทเคอร์เรนซี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน