จากกรณีผู้ใช้เฟสบุ๊ก Itthikorn Butsara ที่โพสต์คลิปรถเก๋งสีขาวไม่ยอมหลบให้รถพยาบาลแม้ว่าจะมีโอกาสหลบก็ตาม พร้อมข้อความระบุว่า “คนไข้ใส่ท่อช่วยหายใจและเสี่ยงต่อหัวใจหยุดเต้น พี่ให้ทางรถพยาบาลได้แต่ไม่ยอมหลบ !!!!!! เห็นแต่ในข่าว วันนี้เจอกับตัวเองเลย” ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีที่เกิดขึ้นอย่างมาก ว่าคนไทยด้วยกันเห็นรถฉุกเฉินทำไมไม่ยอมหลบ ต้องมีอีกกี่ศพถึงจะพอ ต่อมาทราบว่าผู้ป่วยคนดังกล่าวได้เสียชีวิตลง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น อ่านข่าว หลบได้ไม่หลบ! ขับขวางทางรถพยาบาล ในรถระส่ำมีคนไข้วิกฤตใส่ท่อช่วยหายใจ เสี่ยงหัวใจหยุดเต้น

ความคืบหน้าล่าสุดวันที่ 20 เม.ย. ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปบ้านเลขที่ 53 บ้านท่าเยี่ยม หมู่ 10 ต.ใหม่นาเพียง อ.แวงใหญ่ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านของนายจตุรงค์ วงเวียน อายุ 23 ปี ผู้เสียชีวิตที่อยู่บนรถพยาบาล โดยพบว่าบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า คนในครอบครัวรวมไปถึงญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน กำลังช่วยกันเตรียมจัดงานศพ โดยผู้สื่อข่าวพบกับพ่อ แม่ และ ด.ช.วัย 5 ขวบ ซึ่งเป็นลูกของผู้เสียชีวิต พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว

นางสมร วงเวียน 38 ปี พี่สาวของนายจตุรงค์ กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 18.00 น. วันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมาน้องชายเดินทางออกจากบ้านพักที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เพื่อนำรถขนส่งคอนกรีตสำเร็จรูปไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถภายในตัวอำเภอ จากนั้นได้โทรศัพท์เรียกนายสุพัฒน์ ชุมนา อายุ 17 ปี ซึ่งเป็นลูกชายของตนและพักอยู่ด้วยกันกับน้องชาย มารับกลับไปรับประทานอาหารที่บ้าน หลังจากนำรถไปจอดไว้ที่อู่เรียบร้อย ก็ได้ขี่รถจยย.กลับโดยน้องชายนั่งซ้อนท้าย ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นที่สี่แยกหนองผักบุ้ง ต.แก่งคอย อ.แก่งคอย จ.สระบุรี จนทำให้น้องชายขาหัก 2 ข้าง กะโหลกศีรษะด้านขวาเปิด บาดเจ็บสาหัส โดยกู้ชีพของโรงพยาบาลแก่งคอย ได้เข้ามารับตัวเพื่อส่งต่อไปที่ ร.พ.สระบุรี โดยระหว่างนำส่งนั้นก็ได้มีรถเก๋งสีขาวคันที่ปรากฏในคลิปขับบังหน้าไม่ยอมหลบแม้จะมีช่องทางหลบ ทำให้น้องชายเสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาลสระบุรี

“รู้สึกเสียใจอย่างมาก ที่คนไทยด้วยกันขับรถไม่มีน้ำใจซึ่งกันและกัน อยากจะฝากถึงผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนตัวบนถนนทุกคน ขอให้มีน้ำใจต่อกัน โดยเฉพาะรถกู้ชีพ หรือรถที่เปิดไฟไซเรน ทุกคนควรจะหลบทางให้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่นำส่งผู้ป่วยถึงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพราะทุกนาทีมีค่าสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในรถ จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ขอให้น้องชายเป็นรายสุดท้าย” นางสมร กล่าว

ขณะที่นายหนูฤทธิ์ วงเวียน อายุ 73 ปี พ่อผู้เสียชีวิต บอกว่า เสียใจอย่างมาก และมีความเป็นห่วงในเรื่องการเลี้ยงดูหลานชายวัย 5 ขวบ ซึ่งเป็นลูกชายของผู้ตาย เพราะเกรงว่าจะเลี้ยงดูไม่ดีพอ เนื่องจากเงินส่วนใหญ่ผู้ตายเป็นเสาหลักของครอบครัว ขณะที่ตนและภรรยานั้นก็ป่วยมีโรคประจำตัว ต้องไปโรงพยาบาลรับยามาทานประจำ

“ลูกชายเป็นเสาหลักของครอบครัว คอยส่งเงินมาให้ตลอดทุกเดือน เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และส่งลูกเรียนอนุบาล 2 ทำให้ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะหาเงินมาจากที่ใดเพื่อส่งเสียหลานชายวัย 5 ขวบได้เรียนหนังสือสูงๆ เพราะครอบครัวของผมและลูกสาวต่างก็มีฐานะยากจน ซึ่งในวันพรุ่งนี้เวลา 15.00 น. จะทำพิธีฌาปนกิจศพลูกชายที่วัดบ้านท่าเยี่ยมต่อไป” นายหนูฤทธิ์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน