วันที่ 28 เม.ย. เอเอฟพีรายงานถึงเหตุการณ์ความไม่สงบตามชายแดนเมียนมาว่า นายมาร์ก คัตส์ หัวหน้าสำนักงานด้านความร่วมมือในกิจการด้านความร่วมมือมนุษยธรรมหรือโอซีเอชเอกล่าวว่า ในช่วงเวลา 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนมากกว่า 4,000 คน หนีตายการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ติดอาวุธในรัฐคะฉิ่น ทางเหนือสุดของประเทศเมียนมา ใกล้พรมแดนกับประเทศจีน

จำนวนดังกล่าวไม่รวมถึงคนจำนวน 15,000 คนที่อพยพหนีไปตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นปี รวมถึงคนที่อาศัยในค่ายผู้พลัดถิ่นในประเทศหรือไอดีพีจำนวน 90,000 คน ทั้งในรัฐคะฉิ่นและรัฐฉานนับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างรัฐบาลและกองทัพปลดปล่อยคะฉิ่นพังทลายลงในปี 2554

This picture taken on April 26, 2018 AFP PHOTO / Zau Ring HPARA

“เราได้รับรายงานจากองค์กรท้องถิ่นระบุว่า ยังมีพลเรือนจำนวนมากที่ยังคงติดอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง ความกังวลใหญ่ที่สุดของเรา คือความปลอดภัยของพลเรือน รวมถึงสตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุ เด็กเล็กๆ และคนไร้ความสามารถ เราต้องทำให้แน่ใจคนเหล่านี้ได้รับการคุ้มครอง” นายคัตส์กล่าว

This picture taken on April 26, 2018 / AFP PHOTO / Zau Ring HPARA

พื้นที่พรมแดนของเมียนมาไร้เสถียรภาพตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2491 ทั้งจากการก่อความไม่สงบ นักรบติดอาวุธท้องถิ่น สถานที่ผลิตยา ขณะที่ทางรัฐยะไข่ ด้านตะวันตกเฉียงเหนือเกิดวิกฤตโรฮิงยา กองทัพเมียนมาปราบปรามผู้ก่อการร้ายทำให้ชาวโรฮิงยาราว 700,000 คนอพยพหนีตายไปประเทศบังกลาเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน

This picture taken on April 26, 2018 / AFP PHOTO / Zau Ring HPARA

รายงานระบุว่า นางออง ซาน ซู จี ผู้นำเมียนมาเคยกล่าวว่า การสร้างสันติภาพเป็นงานลำดับแรกเมื่อครั้งเข้ามาบริหารประเทศในปี 2559 แต่ถึงขณะนี้ความก้าวหน้าอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธหลายกลุ่มต้องการสิทธิในการปกครองและควบคุมตนเองจากรัฐบาลเมียนมา ซึ่งชาติพันธุ์บะหม่าหรือพม่านั่งในตำแหน่งสำคัญทางการเมืองรวมถึงกองกำลังติดอาวุธ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน