เดลี่เมล รายงานว่า มีการค้นพบอุโมงค์ของกองกำลังรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส ในซีเรีย สถานที่ดังกล่าวยังเป็นโบสถ์ลับโบราณซึ่งเคยใช้เป็นสถานที่สักการะบูชาของชาวคริสต์ และใช้หลบหนีจากการสังหารของชาวโรมันเมื่อสองพันปีก่อน

นักโบราณคดีในซีเรียค้นพบโบสถ์ลับ ที่อาจอยู่ในสมัยช่วงคริสต์ศตวรรษแรก ซ่อนอยู่ในอุโมงค์ ในอาณาเขตของไอเอส ในเมืองมานบิจ ใกล้กับพรมแดนตุรกี ทางตอนเหนือของซีเรีย มามากกว่าสองปี

อุโมงค์โบราณที่ค้นพบในเมืองมานบิจ เคยเป็นที่หลบภัยสำหรับชาวคริสต์ที่ถูกไล่ล่าสังหารผู้นับถือคริสต์ศาสนาในสมัยคริสเตียนยุคแรก ระหว่างช่วงจักรวรรดิโรมัน ทางเข้าโบราณสถานแห่งนี้นำผู้ค้นพบไปสู่ชั้นใต้ดินที่ลึกลงไป จนพบกับร่องรอยการอยู่อาศัยของกองกำลังไอเอส

นักวิจัยพบว่าภายในอุโมงค์ประกอบด้วยทางหนี ประตูลับ การจารึกของชาวกรีก และแท่นบูชาชั่วคราว ซึ่งแกะสลักเป็นสัญลักษณ์ของชาวคริสต์ การเชื่อมต่อในทางใต้ดินเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชาวคริสต์ในช่วงยุคคริสต์ศตวรรษที่ 3 หรือที่ 4 ยังรวมถึงสุสาน ที่ยังหลงเหลือกระดูกมนุษย์ข้างในหลุมฝังศพขนาดใหญ่

นักโบราณคดีเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาเป็นเวลาหลายปีก่อนที่กระบวนการขุดหาวัตถุโบราณจะเริ่มในเดือนสิงหาคมปี พ.ศ.2560 หลังจากปีที่ไอเอสถูกขับไล่จากพื้นที่ดังกล่าว








Advertisement

“สถานที่นี้มันวิเศษมาก” อับดุลวะฮ์ฮาบ ผู้นำการค้นหาซากปรักหักพังในมานบิจกล่าว “ตรงนี้เป็นที่ที่ผมคิดว่ายามจะยืนหน้าประตูเพื่อเฝ้าดูความปลอดภัย เขาน่าจะเตือนภัยคนอื่นเพื่อออกไปทางอื่นหากต้องการหลบหนี”

ในยุคสมัยแรกของศาสนาคริสต์ ชาวคริสต์ต้องเผชิญกับการไล่ล่าภายใต้จักรวรรดิโรมันโดยจักรพรรดิเนโร เพราะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการให้สิทธิในการร่วมรักระหว่างพี่น้อง การกินเนื้อคน และการกระทำที่โหดร้ายป่าเถื่อนอื่นๆ อีกมาก

ผลก็คือชาวคริสต์ต้องเก็บความลับเรื่องการนับถือศาสนาของตนเอง จนกระทั่ง ปี พ.ศ.856 เมื่อศาสนิกชนได้รับการลดโทษโดยจักรพรรดิคอนสแตนติน

นักโบราณคดีและนักวิจัยประกาศว่าพวกเขาจะศึกษาค้นคว้าและปกป้องโบราณสถานแห่งนี้ให้ได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน