เมื่อวันที่ 22 พ.ค. วอชิงตันโพสต์นำเสนอบทวิเคราะห์ของ ฮีตเธอร์ ลอง ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ถึง สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา-จีน ว่าจีนเป็นฝ่ายกำชัยชนะในยกนี้ อย่างน้อยก็คือการรับปากว่าจะค่อยๆ ลดปริมาณได้ดุลจากสหรัฐลง โดยไม่เอ่ยว่าจะลดลงเท่าใด
ถ้อยแถลงของสองชาติมหาอำนาจมีขึ้นในวันเดียวกับที่ราชวงศ์อังกฤษจัดพิธีเสกสมรสของเจ้าชายแฮร์รีและเมแกน มาร์เคิล เมื่อ 19 พ.ค.ที่ผู้คนทั่วโลกหันไปสนใจงานดังกล่าว แต่ฮีตเธอร์ ลอง ระบุว่า ถึงงานนั้นจะใหญ่อย่างไรก็ไม่อาจกลับความยินดีของจีนที่ชนะศึกการค้าในวันนั้นได้
สหรัฐขาดดุลการค้าจีนถึง 375,000 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 12 ล้านล้านบาท เดิมทีมีข่าวว่า จีนจะลดจำนวนการคาดดุลลงให้เหลืออย่างน้อย 200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 6.4 ล้านล้านบาท แต่ต่อมากลับบอกว่าไม่ใช่จำนวนนั้น เพราะยังไม่ได้ระบุว่าจะเป็นจำนวนเท่าใด ไว้ค่อยคุยรายละเอียดกันภายหลัง .
นี่เองที่เรียกว่าเป็นชัยชนะของจีน
แถลงการณ์ร่วมของสองประเทศมีใจความว่าทั้งคู่จะเพิ่มการส่งออกระหว่างกันในสินค้าภาคเกษตรกรรม และพลังงาน อีกทั้งยังมจะขยายการค้าในเรื่องภาคการผลิต และภาคบริการ
แม้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการให้จีนหยุดการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รวมไปถึงหยุดขโมยความลับทางธุรกิจ และเทคโนโลยีของสหรัฐ ซึ่งจีนแถลงว่าจะปรับปรุงกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาให้มีความทันสมัยมากขึ้น
แต่ผลตอบรับที่มาจากบรรดาซีอีโอบริษัทต่างๆ ที่เป็นพันธมิตรของนายทรัมป์ กลับออกมาในแง่ลบ อย่างนายแดน ดิมิกโก อดีตซีอีโอ บริษัทเหล็กกล้า และเคยสนับสนุนแผนภาษีเหล็ก และอลูมิเนียมของทรัมป์ ที่เอ่ยปากว่าแถลงการณ์ครั้งนี้ไม่ดีพอ
นายลู ด็อบส์ ผู้จัดรายการฟ็อกซ์ บิสิเนส ถึงกับสรุปในรายการว่าจากสถานการณ์ครั้งนี้ จีนบอกว่า “ไม่เอา”
ส่วนนายมาร์โก รูบิโอ ส.ว.พรรครีพับลิกัน ทวีตข้อความโดยสรุปว่า การคุยกันครั้งนี้จีนถือไพ่เหนือกว่า
แต่ทางด้านนายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐออกมายืนยันว่าแผนภาษีตอนนี้อยู่ในช่วงงดเว้นไว้ก่อน และบอกด้วยว่าสงครามการค้าไม่ดีต่อทั้งสองฝ่าย แต่จีนเข้าใจและได้ผ่อนปรนเรื่องแผนภาษีแล้ว
ส่วนในประเด็นเรื่องการพูดคุยกับเกาหลีเหนือ ที่โยงเอาเรื่องการค้าระหว่างจีน และสหรัฐมาเกี่ยวข้อง ไม่น่าแปลกใจที่ทางสหรัฐกลับลำเรื่องการเข้มงวดบริษัทแซททีอีของจีน หลังจากที่แซททีอีเคยละเมิดมติคว่ำบาตรอิหร่าน ไปค้าขาย พร้อมกับยุติสิทธิการเข้าถึงสิทธิบัตรทางเทคโนโลยีของสหรัฐทั้งหมดเป็นเวลา 7 ปี
สำหรับแผนการของจีนที่จะอาศัยเทคโนโลยีในการผลักดันเศรษฐกิจ ตามแผนจีน 2568 ของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดี และจีน ยินยอมที่จะหยุดการสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีน ตามที่รัฐบาลทรัมป์เรียกร้อง
ทั้งนี้ ยังไม่มีทิศทางใดๆว่า ทางสหรัฐจะกำหนดเพดานการลงทุนของจีนในประเทศ แต่งานของนายมนูชินก่อนหน้านี้ที่ต้องจำกัดทุนของจีนที่หลั่งไหลเข้ามาในสหรัฐ และอีกมาตรการสำคัญคือการคุยกับรัฐบาลจีนให้เล่นเกมการค้าการลงทุนอย่างยุติธรรม และปล่อยให้บริษัทสหรัฐลงทุนอย่างเต็มที่ในประเทศจีน เช่นเดียวกับจีนตั้งเป้าลงทุนในสหรัฐ
อย่างไรก็ตามนี้เป็นเพียงรอบแรกในการเจรจากันอย่างยืดยาวระหว่างการค้าของทั้งสองประเทศ