เซี่ยงไฮ้อิสต์ และ ซีจีทีเอ็น รายงานว่า จากการตรวจสอบหาความจริงในการพัฒนาของอารยธรรมโบราณของจีนโดยความดูแลของนักโบราณคดี มาเป็นระยะเวลามากกว่า 15 ปี นับจากค้นพบเมืองโบราณขนาดใหญ่อายุห้าพันปีก่อน นักวิจัยเปิดผลพิสูจน์ที่สรุปว่า “อารยธรรมจีนมีอายุอย่างน้อย 5,000 ปี ได้รับการยืนยันแล้ว”
“สังคมนี้ มีรากฐานดั้งเดิมที่โอ่อ่ามากที่สุด” หวัง เหว่ย หนึ่งในนักวิจัยที่ทำงานในโปรเจ็กต์นี้กล่าว “ดังนั้นเราจึงเชื่อว่า ขอบเขตการวิจัยนี้เป็นหนทางนำเราไปพบความรุ่งเรืองในยุคแรก”
เจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญเปิดผลการรับรอง หรือ verify หลังพบหลักฐานทางโบราณคดีสำหรับการพิสูจน์เพิ่มขึ้นจากทีมงาน โครงการอารยธรรมจีนว่าด้วยการพัฒนายุคดั้งเดิมและแรกเริ่มที่อาศัยเทคโนโลยีรุ่นใหม่มาใช้ในงานขุดสำรวจโบราณสถาน ตั้งแต่ปี 2544
โบราณสถานที่ค้นพบว่าอารยธรรมจีนยุคแรกเริ่ม ย้อนไปตั้งแต่ 5,800 ปีก่อน ได้แก่ การขุดค้นซากปรักหักพังในเมืองเหลียนจู มณฑลเจ้อเจียง ภาคตะวันออก ศาสนาสถานลัทธิเต๋าในมณฑลชานซี ภาคเหนือ โบราณสถานสือเหมา ในมณฑลส่านซี ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ โบราณสถานเออร์หลี่ถู มณฑลเหอหนาน ภาคกลาง
นอกจากนี้ยังพบร่องรอยอารยธรรมราว 5,800 ปีก่อนในพื้นที่แม่น้ำเหลือง และพื้นที่ราบต่ำแถบแม่น้ำแยงซี และแม่น้ำเหลียวตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เรื่องดังกล่าวเคยเป็นข่าวดังเมื่อครั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ฟังเรื่องประวัติศาสตร์จีนจาก สี จิ้นผิง เมื่อปีก่อน แล้วมาคุยฟุ้งถึงจีนด้วยเรื่องประวัติศาสตร์ 8,000 ปี กับสื่อนิตนสารดิ อีโคโนมิสต์
ปีต่อมาโดนัลด์ ทรัมป์ไปพบสี จิ้นผิง ในปักกิ่ง ทรัมป์ให้ความเห็นว่า “เขาได้ยิน” ว่าประวัติศาสตร์ของจีนย้อนไป 5,000 ปี แต่อียิปต์ย้อนไปไกลกว่านั้น
“อียิปต์เก่าแก่มากกว่า” สี จิ้นผิงยอมรับ “แต่ความรุ่งเรืองที่ต่อเนื่องยาวนานต้องยกให้จีน”
“ประชากรของพวกเราเป็นประชากรดั้งเดิม ผมดำ ผิวเหลือง เป็นมรดกตกทอดสืบมา” สี จิ้นผิงกล่าวและหัวเราะ “พวกเราเป็นลูกหลานของมังกร”
“เยี่ยมเลย” ทรัมป์กล่าว
เพื่อที่จะทำให้เรื่องเล่าชาตินิยมดังกล่าวแข็งแรงขึ้น “การตรวจสอบหาความจริงอย่างครอบคลุม” ได้เริ่มปฏิบัติการอย่างจริงจังโดยย้อนไปในปี พ.ศ. 2554 นำโดยนักโบราณคดีที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการภายใต้สถาบันทางสังคมวิทยาและสาขาโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เกือบ 70 มหาวิทยาลัยของประเทศจีนได้รับการแต่งตั้งให้มีส่วนช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ
ขณะที่ เจมส์ ปาล์มเมอร์ นักกำหนดนโยบายระหว่างประเทศของทวีปเอเชีย กล่าวว่ามันเป็นความสูญเปล่ามหาศาลในการลงทุนไปกับเรื่องดังกล่าว