เอพีรายงานเมื่อ 19 ธ.ค. ว่า ในการประชุมวาระพิเศษของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศชาติอาเซียน (สมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ที่นครย่างกุ้ง ประเทศพม่า ซึ่งนางออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรมว.ต่างประเทศ ขอประชุมฉุกเฉินว่าด้วยวิกฤตชาวโรฮิงยานั้น มาเลเซียเป็นชาติที่พูดถึงปัญหาของเรื่องนี้มากที่สุด ว่าวิตกอย่างยิ่งกับความรุนแรงที่ทหารพม่ากระทำต่อชนกลุ่มน้อยโรฮิงยา
การประชุมมีขึ้นหลังจากกองทัพพม่านำกำลังบุกค้นหมู่บ้านชาวมุสลิมโรฮิงยาในรัฐยะไข่เพื่อปราบปรามกลุ่มติดอาวุธมุสลิมสายสุดโต่ง จากกรณีโจมตีด่านตรวจชายแดนเมื่อเดือนต.ค. จนนำไปสู่ข้อกล่าวหาถึงการทำร้ายร่างกาย ข่มขืน สังหาร นอกจากนี้ยังทำให้ชาวโรฮิงยามากกว่า 27,000 คนต้องอพยพหนีตายไปยังบังกลาเทศ
“เป็นเรื่องน่ากังวลมากที่การกระทำที่ถูกกล่าวหานี้เป็นปฏิบัติการความมั่นคงที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลเอง” รัฐบาลมาเลเซียระบุ
ด้านนายเรตโน มาร์ซูดี รมว.ต่างประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า พม่าตกลงที่จะเปิดทางให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้าไปยังพื้นที่ประสบเหตุ แต่ยังไม่ได้ระบุวันเวลาที่ชัดจน
กรณีโรฮิงยากระทบต่อความสัมพันธ์ของพม่ากับชาติสมาชิกที่นับถืออิสลาม อย่างมาเลเซีย และอินโดนีเซียด้วย นับเป็นกรณีไม่ปกติสำหรับอาเซียนซึ่งมีหลักปฏิบัติไม่แทรกแซงกิจการภายในของสมาชิก
ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก ผู้นำมาเลเซีย แถลงตำหนินางซู จี ว่าเพิกเฉยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมโรฮิงยาในรัฐยะไข่ ขณะที่ทางการพม่าตอบโต้ว่าข้อครหาไม่มีมูลความจริง พร้อมสั่งระงับการส่งแรงงานพม่าไปทำงานในมาเลเซีย
ด้านนายออง กัน เส็ง อดีตเลขาธิการอาเซียน ระบุว่า ชาติสมาชิกอาเซียนวิตกว่าวิกฤตโรฮิงยาจะยิ่งขมวดปมและกลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก
“หากไม่จัดการให้ดีวิกฤตนี้จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของสันติสุข และความมั่นคงในภูมิภาคอาเซียน”
พร้อมแสดงความเห็นว่า การประชุมฉุกเฉินนี้มีเป้าหมายระงับความรุนแรงในพื้นที่พิพาท รวมถึงปรับความเข้าใจ ฟื้นฟูความสัมพันธ์ และแบ่งปันข้อมูลความคืบหน้าของสถานการณ์ให้ชาติสมาชิกรับทราบ