น้ำตาไหลพรากใจแม่ ลูกชาย 2 ขวบถูกสึนามิซัดหลุดอ้อมแขน
น้ำตาไหลพรากใจแม่ – วันที่ 9 ต.ค. สำนักข่าว เอพี รายงานคำสัมภาษณ์ น.ส.มุสริฟาห์ ที่เปิดเผยถึงความสูญเสียอันปวดร้าวใจ หลังเด็กชายบิมา อัลฟาเรซี ลูกชายวัย 2 ขวบถูกคลื่นยักษ์สึนามิซัดหลุดจากอ้อมแขน ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิซัดถล่มที่เมืองปาลู เกาะสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย
น.ส.มุสริฟาห์ อาชีพพยาบาล ย้อนถึงมหาภัยร้าย วันที่ 28 ก.ย.ว่า ขณะนั้นเสียงประกาศจากมัสยิดเรียกให้ชาวปาลูสวดมนต์เพิ่งเริ่ม บ้านของตนสั่นไหวอย่างรุนแรง รูปครอบครัวร่วงจากผนังบ้าน จาน แก้วน้ำตกกระแทกพื้นแตกละเอียก โทรทัศน์พลัดตกแตกเป็นเสี่ยงๆบนพื้นห้องนั่งเล่น ตนรีบช้อนตัวลูกชายวัย 2 ขวบขึ้นอุ้ม
ไม่กี่วินาทีต่อมา ผนังบ้านชั้นเดียวที่ทำด้วยคอนกรีตหลายส่วนแตกร้าว จากนั้นพังละเอียด เกิดฝุ่นสีซีดตลบในอากาศ
“แม่จ๋า!” เด็กชายขวัญเสียร้องไห้ตัวสั่น ขณะที่มือกอดกดหลังแม่แน่น
“อย่ากลัวลูก” มุสริฟาร์ปลอบลูก “แม่อยู่นี่แล้วจ้ะ”
เวลา 18.02 น. วันศุกร์ที่ 28 กันยายน แผ่นดินไหว 7.5 แม็กนิจูด เขย่าเกาะสุลาเวสีนานกว่า 10 นาที เป็นหายนภัยที่ไม่ธรรมดาแม้เกิดในประเทศอินโดนีเซียที่มีแนวโน้มเกิดแผ่นดินไหวอยู่แล้ว ไม่นานจากนั้นคลื่นสึนามิโถมเข้าซัดกวาดบ้านตามชายฝั่งทะเลพังเรียบ
ไม่เท่านั้นยังเกิดปรากฎการณ์ทางภูมิศาสตร์ที่เรียกว่า “แผ่นดินเหลว” ผืนดินเริ่มเคลื่อนตัวคล้ายของเหลวและกลืนบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดลงสู่พื้นโลก ชาวบ้านเรียกว่าเป็น “สึนามิจากดิน” รวมถึงที่เมืองบาลาโรอา ติดกับเมืองปาลู ซึ่งคร่าชีวิตเกือบ 2,000 ศพ สูญหายอีกหลายพันคน ในจำนวนนี้รวมถึงเด็กชายบิมา อัลฟาเรซี ลูกชายของมุสริฟาห์ด้วย
–ผืนดินมักสั่นไหวเสมอ–
มุสริฟาห์เติบโตมาบนเกาะสุลาเวสีที่ตั้งเมืองปาลู หญิงสาวเคยชินกับแผ่นดินไหวตามวัยที่เติบโตขึ้น แม้ว่าอาจกลัว แต่แผ่นดินไหวในปาลูแทบไม่สร้างความเสียหายร้ายแรง
หลังสึนามิปี 2547 ซึ่งคร่าชีวิตรวมทั้งในอินโดนีเซียและในต่างประเทศ 230,000 ศพ มากกว่าครึ่งเป็นชาวอินโดนีเซีย คลื่นความตายในครั้งนั้นประทับในความนึกคิดของชาวอินโดฯ แต่กับเมืองปาลู ไม่เคยประสบภัยร้ายแรงระดับนั้นเลยนับตั้งแต่มุสริฟาห์เกิดมา
คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเมืองปาลูปลอดภัยเพราะตั้งอยู่ที่ฐานของอ่าวที่ยาวและแคบเมื่อเปรียบเทียบกับอ่าวอื่นๆ ตลอดจนมีภูเขาเขียวชอุ่มหลายลูกกำบังคลื่นอยู่
“เราคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะคุ้มครองเราจากความรุนแรงของท้องทะเล”มุสริฟาห์กล่าว และว่าแทบไม่มีใครที่นี่ หรือหากมีก็ได้ ที่เคยได้ยินเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทำให้เหลวมาก่อน
ดังนั้นเมื่อแผ่นดินไหว 5 ระลอกด้วยระดับความรุนแรงตั้งแต่ 4.8-6.1 แม็กนิจูด นานหลายชั่วโมงเมื่อวันศุกร์ โดยระลอกแรกเวลา 15.00 น. มุสริฟาห์จึงไม่คิดมาก มีครอบครัวมาเยี่ยมและในไม่ช้าจะได้กินข้าวมื้อเย็น
จากนั้นเกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที บริเวณละแวกบ้านหลายแห่งถูกทำลายจนสิ้นซาก ตึกทั่วเมืองถล่มลงมา รวมถึงโรงแรม ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง พังลงมาคร่าหลายชีวิตและติดอยู่ใต้ซาก ร้องขอความช่วยเหลือ เสาสัญญาณโทรศัพท์พัง ทำให้สายโทรคมนาคมขัดข้อง ขณะที่เสาควบคุมการสัญจรทางอากาศทลายลงมา ขณะที่เครื่องบินลำสุดท้ายขึ้นบินได้ไม่นาน
บ้านของมุสรีฟาห์ ติดกับชายฝั่งอ่าวปาลู ครอบครัวรีบไปที่ระเบียงกลางแจ้งของบ้าน แต่เศษซากปรักหักพังของบ้านที่ถล่มลงมาขวางทางหนีจากทุกด้าน ในตอนนั้นมุสริฟาห์ยังคงอุ้มลูกชายอยู่ แต่มุสริฟาห์คิดว่าเหตุร้ายแรงที่สุดจบสิ้นแล้ว
–กำแพงน้ำทำลายล้าง–
เจ้าหน้าที่อินโดนีเซียกล่าวว่า แผ่นดินไหวระดับตื้น 200 ครั้งทรงพลังมากกว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่กองทัพสหรัฐทิ้งที่เมืองฮิโรชิมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงขนาดนั้นทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิเคลื่อนที่ด้วยความเร็วตรงมายังอ่าวปาลูแล้ว
คลิปวิดีโอที่ทีวีท้องถิ่นนำมาออกอากาศแสดงจังหวะที่คลื่นสึนามิสีขาวเป็นแนวยาว ซึ่งเห็นได้ชัดท่ามกลางน้ำทะเลสีเขียวเข้มว่าซัดถึงฝั่ง ชายคนที่ถ่ายคลิปนาทีคลื่นสึนามิ ซึ่งถ่ายจากโรงจอดรถตะโกนลงไปด้านล่างว่า สึนามิ สึนามิ วิ่งเร็วเข้า หนีไป!
Dramatic video shows a man trying to warn people as a tsunami approaches the Indonesian city of Palu; at least 420 people killed pic.twitter.com/3JYOVrWC7A
— BNO News (@BNONews) September 29, 2018
ขณะที่คนกรีดร้องและคนขับรถหวาดกลัวบีบแตร คนวิ่งและปีนขึ้นกำแพงเพื่อหนีให้พ้นจากชายฝั่ง เมื่อคลื่นสึนามิซัดผ่านฝั่ง กวาดเอาหลังคา หมุนวนและซัดหลังคาปะทะกับยานพาหนะที่จมน้ำอยู่ ขณะที่บ้านแตกออกจากกัน หมุนคว้างในซากน้ำสีดำ ชายดังกล่าว เริ่มคร่ำครวญ โอ้ พระเจ้า โอ้พระเจ้า
มุสริฟาห์ติดอยู่บนระเบียงหน้าบ้านที่พังกระจัดกระจาย หญิงสาวไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำทะเลระเบิดถาโถมฝ่าซากปรักหักพังในบ้าน และครอบครัวยืนอยู่ในน้ำที่ท่วมเหนือเข่า ที่คิดได้ในจังหวะนั้น คือ ต้องหนี
หญิงสาวยิ่งกระชับลูกไว้ในอ้อมแขนแน่นขึ้น ขณะที่ลูกชายพูดซ้ำๆ ว่า “หนูกลัว แม่ หนูกลัว”
2 นาทีต่อมา มุสริฟาห์ได้ยินเสียงคำรามอีกเสียง โดยสัญชาตญาณ มุสริฟาห์มองขึ้นบนฟ้า อยู่เหนือซากบ้านที่ขวางทางหนีตน และเหลือบมองเห็นกำแพงน้ำสีดำทะมึน ยอดมวลน้ำสูงกว่าต้นปาล์ม
ยังไม่ทันได้กะพริบตา คลื่นสูงซัดลงมาบนสองแม่ลูกและทุกอย่างก็ดำมืด แรงบดขยี้ของสึนามิซัดแยกตัวบิมา ลูกชายออกจากอ้อมแขนแม่ และหมุนตัวมุสริฟาห์จนอยู่ในท่ากลับหัวในกระแสคลื่นสึนามิที่ปั่นป่วน
ขณะอยู่ใต้น้ำ มุสริฟาห์จับคอนกรีตแผ่นหนาไว้ได้และหลุดจากคลื่นยักษ์ ห่างจากคลื่นราว 1 กิโลเมตร แต่เหลือตัวคนเดียวร่ำไห้และช็อก
สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือตะโกนสุดเสียง เสียงร้องโหยหวนฝ่าความมืด ร้องหาลูกชาย “บิมา บิมา บิมาลูกแม่อยู่ไหนลูก”
แผ่นดินไหวและสึนามิซัดชายฝั่งด้วยพลังมหาศาลทำให้โครงสร้างหลักขนาดใหญ่ของสะพานเตลัก ปาลู สะพานสีเหลือง สิ่งก่อสร้างแลนด์มาร์กของเมืองแตกออกและส่งเสียงดังแหลม ถล่มลงแม่น้ำเบื้องล่าง และตามแนวสองฝั่งของอ่าวปาลู เต็มไปด้วยขยะจากเศษยานพาหนะพังๆแผ่นคอนกรีต รวมถึงเสาไฟที่ล้มลง
บ้านเหลือแต่เสาเข็ม ไม่มีข้าวของเหลือเลยสักชิ้นเดียว
–การค้นหาเหยื่ออันแสนทรหด–
มุสริฟาห์ เหมือนเหยื่อผู้รอดชีวิตคนอื่นๆสภาพจิตใจบอบช้ำเดินตามถนนมืดๆมาถึงมัสยิดที่เปลี่ยนเป็นค่ายลี้ภัย
หลังเที่ยงคืนไม่นาน เมื่อมุสริฟาห์ได้กลับมาอยู่กับนายฮาคิม สามีและลูกสาววัย 5 ขวบซึ่งออกจากบ้านไปด้วยกันกับพ่อก่อนเกิดแผ่นดินไหว ทั้งคู่กอดกันแน่นและร้องไห้ จากนั้นฮาคิมถามคำถามที่มุสริฟาห์ไม่อยากได้ยิน
“ลูกชายเราอยู่ที่ไหน”
“ฉันไม่สามารถยึดตัวลูกไว้ได้” มุสริฟาห์บอกสามี “ฉันเสียใจมาก ฉันไม่สามารถคุ้มครองครองลูกจากภัยได้”
เช้าวันต่อมา สองสามีภรรยาเที่ยวค้นหาพื้นที่รอบๆบ้านที่กลายเป็นทุ่งแบนราบ ซากคอนกรีต แผ่นเหล็ก นับเป็นเวลา 5 วันที่ทั้งคู่เดินผ่านเศษซาก ร้องเรียกชื่อบิมา ลูกชาย ขณะที่เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินดึงหลายร่างออกจากซากที่ทับถม
ตามหาทุกโรงพยาบาลในเมือง วอนขอเจ้าหน้าที่เปิดซิปถุงบรรจุศพของเด็กเล็กๆถุงแล้วถุงเล่า แต่ไม่เจอบิมา
จนกระทั่งช่วงเที่ยงวันของวันพฤหัสบดีที่ 4 ต.ค. เสียงข้างในบางอย่างบอกแก่มุสริฟาห์ว่าให้ไปหาที่กองซากที่แหลกแหลวห่างจากบ้าน 200 เมตร แล้วเกือบจะในทันที มุสริฟาห์เห็นร่างเล็ก นอนหน้าแนบพื้นระหว่างถังแก๊สและกองไม้คาน เด็กชายสวมเสื้อยืดสีเทาเข้มและกางเกงสีฟ้าน้ำทะเล คล้ายบิมาในวันที่สึนามิลักพาเขาไปจากอ้อมแขนของแม่
สภาพศพอืดเน่าไปมากแล้ว แม้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะจำหน้าลูกได้ แต่สำหรับมุสริฟาห์เมื่อเห็นรองเท้าแตะรูปการ์ตูนอุลตร้าแมนสีฟ้าบนเท้าของร่างเล็กๆ มุสริฟาห์แน่ใจว่าเป็นบิมา ลูกชาย
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินบรรจุร่างบิมาลงในถุงสีดำ รูดซิปปิด และตอนนั้นมุสริฟาห์ทำในสิ่งที่อยากทำและหวาดกลัวมากมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ มุสริฟาห์เอาแขนโอบรอบร่างลูกชายและกอดไว้แน่น
อ่านเรื่องราวผลกระทบสึนามิ :