เมื่อ 3 ก.พ. สำนักข่าวเอเอฟพีว่า สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เปิดรายงานสรุปสถานการณ์ชาวโรฮิงยาถูกกวาดล้างในพม่า และเป็นไปได้ที่ถูกสังหารนับร้อยราย ในจำนวนนี้เป็นเด็กที่ถูกฆ่าล้าง และสตรีถูกข่มขืน เป็นจำนวนที่เข้าข่ายได้ว่าเป็นการฆ่าล้างชาติพันธุ์
รายงานชิ้นนี้ นักวิจัยของยูเอ็นให้วิธีสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงยาจำนวน 204 คนในบังคลาเทศ เป็นส่วนหนึ่งของชาวบ้านในรัฐยะไข่ต่างอพยพหลบหนีจากบ้านเรือนกว่า 70,000 คน ช่วงวิกฤต 4 เดือนนับตั้งแต่เกิดเหตุกองกำลังติดอาวุธโจมตีเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 9 ต.ค.2559 จากนั้นทหารจึงเริ่มปฏิบัติกระชับพื้นที่ ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐยะไข่
ทั้งนี้ ร้อยละ 47 ในกลุ่มโรฮิงยาที่ให้สัมภาษณ์ต่างเล่าว่าครอบครัวของตนถูกสังหารระหว่างการปฏิบัติการของทหารเมียนมา และราวร้อยละ 43 รายงานว่าเคยถูกทารุณกรรมทางเพศ
รายงานระบุว่า ระหว่างการกวาดล้างของทางการ ทหารยิงใส่พลเรือนจากเฮลิคอปเตอร์ ขณะที่กองกำลังทหารอีกส่วนบุกตรวจบ้านเรือนแบบเคาะประตูบ้านหลังต่อหลัง จากนั้นยังจุดไฟเผาบ้านของชาวโรฮิงยา
มีกรณีหนึ่งเด็กวัย 8 เดือนถูกฆ่าตายระหว่างที่แม่ของเด็กถูกรุมข่มขืน ขณะที่กันเด็ก 3 คนอายุราว 6 ขวบ ถูกสังหารด้วยมีด
“อะไรจะเกลียดชังกันได้ถึงขนาดนี้ถึงทำให้คนแทงเด็กทารกที่เรียกร้องหานมแม่ อะไรคือปฏิบัติการกระชับพื้นที่ อะไรคือเป้าหมายความมั่นคงจากการปฏิบัติงานครั้งนี้กันแน่ ” นายเซอิด บิน ราอัด เซอิด อัล ฮุสเซน หัวหน้าสำนักงานสิทธิมนุษยชนกล่าว
รายงานยูเอ็นยังระบุว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากนโยบายที่ส่งเสริมความรุนแรง โดยอนุญาตให้คนกลุ่มหนึ่งย้ายคนอีกกลุ่มหนึ่งออกจากพื้นที่โดยใช้กำลังความรุนแรง
ด้าน ซอ ฮเทย์ โฆษกรัฐบาลทหารพม่า กล่าวว่า ข้อกล่าวหานี้ร้ายแรงอย่างยิ่ง และคณะกรรมาธิการที่ดูแลปัญหาโรฮิงยา นำโดยรองประธานาธิบดีมินต์ ฉ่วย จะตรวจสอบข้อกล่าวหาของยูเอ็น หลังจากที่รัฐบาลเคยปฏิเสธข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาแล้ว