ศาลสั่งเบรกกลางอากาศ แจ้งกัปตันนำทมิฬพ่อแม่ลูก บินกลับถิ่นออสซี่
ศาลสั่งเบรกกลางอากาศ – วันที่ 30 ส.ค. เอเอฟพี รายงานว่า เกิดเหตุการณ์การหยุดยั้งการเนรเทศครอบครัวผู้ลี้ภัยชาวทมิฬ พ่อแม่และลูกน้อย 2 คน ออกจากออสเตรเลีย อย่างระทึก เมื่อศาลออสเตรเลียขยายคำสั่งคุ้มครองครอบครัวดังกล่าว ช่วงนาทีสุดท้ายก่อนเครื่องบินพ้นน่านฟ้าของประเทศ ระงับคำสั่งเดิมของรัฐบาลฝ่ายขวาที่ให้เอาครอบครัวนี้ไปส่งที่ศรีลังกา ภูมิลำเนาเดิม
ผู้พิพากษา ฮีตเธอร์ ไรลีย์ มีคำสั่งระงับอำนาจของรัฐบาลดังกล่าว ช่วงดึกของวันที่ 29 ส.ค. ขณะกลุ่มผู้ประท้วงและทนายความจึงรีบวิ่งไปที่สนามบินนครเมลเบิร์น แต่เครื่องบินเหินขึ้นไปแล้วตอนเวลา 23.00 น. ผู้พิพากษาต้องโทร.แจ้งคำสั่งกัปตัน ให้นำเครื่องบินลงจอดในนครดาร์วิน ทางเหนือของออสเตรเลีย ห่างจากนครเมลเบิร์น 3,000 ก.ม. เมื่อราว 03.00 น. วันที่ 30 ส.ค. ตามเวลาท้องถิ่น โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดตามครอบครัวนี้พาลงจากเครื่องบิน
อย่างไรก็ตาม นายปีเตอร์ ดัตทัน รมว.กิจการภายใน กล่าวว่า ครอบครัวนี้ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย จึงไม่สมควรได้รับการคุ้มครองจากออสเตรเลีย
“ผมอยากให้ครอบครัวนี้ยอมรับว่า พวกเขาไม่ใช่ผู้ลี้ภัยไม่ได้รับสิทธิคุ้มครองจากประเทศของเรา พวกเขามาทางเรือ และเราก็บอกชัดแล้วว่าจะอยู่ประเทศนี้ไม่ได้” นายดัตทัน กล่าว
ด้านนายอรัน มีลวากานัม โฆษกสภาผู้ลี้ภัยชาวทมิฬ กล่าวยืนยันว่า ครอบครัวนี้เผชิญอันตราย หากต้องกลับไปอยู่ศรีลังกา
ส่วนน.ส.แองเจลา เฟรเดอริกส์ เพื่อนของครอบครัวชาวทมิฬ เผยว่าครอบครัวประสบเป็นทุกข์อย่างมากเด็กหญิง 2 คน ได้แก่ ด.ญ.ธารูนีกา วัย 2 ขวบ และด.ญ.โคปีคา วัย 4 ขวบ ร้องไห้ระหว่างเที่ยวบิน อีกทั้งแม่เด็กไม่ได้รับอนุญาตให้นั่งกับลูก
ชะตากรรมของครอบครัวนี้ ทำให้ชาวออสเตรเลียหลายคน รวมถึงสมาชิกสภานิติบัญญัติ แสดงความไม่พอใจทางโลกออนไลน์ต่อการปฏิบัติต่อครอบครัวผู้ลี้ภัย และเรียกร้องให้รัฐบาลออสเตรเลียแสดงความเห็นอกเห็นใจ รวมถึงให้นายเดวิด โคลแมน รมว.ตรวจคนเข้าเมือง ใช้ดุลพินิจและอนุญาตให้ครอบครัวอยู่ต่อไป
สามีภรรยาคู่นี้มาอยู่ที่เมืองบิลโออีลา ถิ่นชนบทในรัฐควีนส์แลนด์ 3 ปีแล้ว มีลูกด้วยกัน 2 คน และเกิดในออสเตรเลีย แต่เด็กทั้งสองไม่ได้รับสิทธิให้เป็นพลเมืองออสเตรเลีย ต่อมาทั้งครอบครัวถูกเจ้าหน้าที่ใช้กำลังบังคับให้ออกจากบ้านพัก ไปศูนย์กักกันผู้ลี้ภัยเมื่อเดือนมี.ค.2561 เรียกเสียงประณามจากชาวออสเตรเลีย และลงลายมือชื่อมากกว่า 120,000 คน เรียกร้องให้ครอบครัวชาวทมิฬอยู่ในออสเตรเลียต่อไป