เมื่อวันที่ 7 เม.ย. จากกรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ใช้อำนาจฝ่ายบริหารสั่งการให้กองทัพสหรัฐยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์ก ราว 50-60 ลูก ถล่มฐานทัพซีเรีย เพื่อตอบโต้กรณีพลเมืองซีเรียในเมืองข่านชีกฮุนถูกโจมตีด้วยอาวุธเคมี จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 80 ราย เมื่อวันที่ 4 เม.ย. นั้น

ฐานทัพซีเรียที่ถูกสหรัฐโจมตี. (DigitalGlobe/U.S. Department of Defense via AP)

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวผ่านนายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกประจำตัว ว่าการโจมตีของสหรัฐดังกล่าวนั้นละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งยังอยู่ภายในข้ออ้างที่ประดิษฐ์ขึ้น เป็นความพยายามที่จะเบี่ยงเบนความสนใจจากเหตุการณ์ถล่มในอิรักที่สหรัฐทำให้ชาวอิรักบาดเจ็บล้มตาย

กรณีนี้สร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย ซึ่งแต่เดิมก็อยู่ในสถานะที่ไม่สู้ดีอยู่แล้ว

นายเปสคอฟกล่าวเสริมว่า กองทัพซีเรียไม่ได้มีอาวุธเคมีแล้ว และเรื่องนี้ก็ถูกตรวจสอบและยืนยันโดยองค์การป้องกันการครอบครองอาวุธเคมีแห่งสหประชาชาติแล้ว

ส่วนกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย ออกแถลงการณ์ในเวลาต่อมาโดยมีสาระสำคัญเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจัดการประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในซีเรีย พร้อมประณามว่าการโจมตีฐานทัพอากาศซีเรียเป็นการกระทำที่อุกอาจ ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ

U.S. Navy via AP

การโจมตีของสหรัฐเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 03.45 น. วันที่ 7 เม.ย. ตามเวลาท้องถิ่นซีเรีย กองทัพสหรัฐเริ่มกระหน่ำยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์กโจมตีฐานทัพอากาศเชย์รัต ของรัฐบาลซีเรีย ในจังหวัดฮอมส์ ทางตอนกลางของประเทศ โดยมุ่งสร้างความเสียหายพื้นที่รันเวย์ หอบังคับการจราจรทางอากาศ และลานจอดเครื่องบิน

กองทัพซีเรียแถลงความเสียหายที่ถูกกองทัพสหรัฐโจมตีด้วยขีปนาวุธ ว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 ราย บาดเจ็บอีก 9 นาย พร้อมแถลงประณามสหรัฐกระทำการก้าวร้าว ด้านกลุ่มนักรบกบฏซีเรียได้รับรายงานต่างไปเล็กน้อยว่า มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ในจำนวนนี้เป็นระดับนายพล 1 ราย และทหาร 3 ราย

การเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลสหรัฐกับรัฐบาลรัสเซียครั้งนี้แสดงถึงการแตกคอครั้งแรกของสองมหาอำนาจ หลังจากรัฐบาลและคนใกล้ชิดนายทรัมป์ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับข้อสงสัยว่ารัสเซียเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปีที่แล้วจนทำให้นายทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ทั้งเอฟบีไอและคณะกรรมาธิการสภาสหรัฐต่างพยายามสอบสวนเรื่องนี้

นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่า นายทรัมป์ใช้อำนาจสั่งการกองทัพครั้งนี้ระหว่างที่ตนเองกำลังต้อนรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำชาติมหาอำนาจเอเชีย ก่อนการเจรจาปัญหารับมือกับเกาหลีเหนือ หลังจากนายทรัมป์เพิ่งให้สัมภาษณ์ในเชิงรุกกร้าวว่า สหรัฐอาจจัดการกับเกาหลีเหนือด้วยตนเองโดยไม่พึ่งจีน
ด้านบรรดาชาติพันธมิตรสหรัฐต่างแถลงท่าทีสนับสนุนการโจมตีของสหรัฐในครั้งนี้ ไม่ว่า เยอรมนี ฝรั่งเศส อิสราเอล ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย ฯลฯ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน