เมื่อ 7 เม.ย. ฟ็อกซ์นิวส์ของสหรัฐอเมริการายงานผลการยิงขีปนาวุธ 59 ลูกของกองทัพสหรัฐถล่มฐานทัพซีเรีย ว่าภาพถ่ายทางดาวเทียมเผยให้เห็นความเสียหายของฐานทัพเชย์รัต ในเมืองฮอมส์ ในสภาพพังย่อยยับ
ภาพดังกล่าวตรงกับภาพที่สื่อรัสเซียเผยความเสียหายของฐานทัพในระยะใกล้ ซึ่งผลการโจมตีดังกล่าว ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6-9 ราย ข้อมูลจากทางการซีเรียระบุว่า เป็นเด็กด้วย 4 ราย
ขณะที่บีบีซีรายงานว่า น.ส.นิกกี ฮาลีย์ ทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ กล่าวอย่างแข็งกร้าวว่า อเมริกาจะจัดการเพิ่มเติมกับซีเรียอีก หลังจากที่เพิ่งถล่มสั่งสอนไปว่า จะใช้อาวุธเคมีสังหารผู้คนไม่ได้
“เราเตรียมกรจะลงมืออีก แต่เราหวังว่าจะทำเฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น เป็นการรักษาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อป้องกันการแพร่และใช้อาวุธเคมี” ทูตหญิงสหรัฐกล่าว
ท่าทีของทูตสหรัฐมีขณะที่รัฐบาลรัสเซียนำเรื่องร้องเรียนให้เปิดการประชุมฉุกเฉินในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หลังระบุว่าการโจมตีซีเรียของสหรัฐ ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน เพียงใช้ข้ออ้างที่ประดิษฐ์ขึ้น
รัสเซียยังปิดสายฮอตไลน์สำหรับการแจ้งเตือนสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันบนน่านฟ้าซีเรียด้วย
สำหรับซีเรียเคยมีระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศด้วยระบบตรวจจับเรดาร์ที่ทรงประสิทธิภาพสูงมาก่อน แต่ค่อยๆ เสื่อมศักยภาพลงหลังเกิดสงครามกลางเมือง ในขณะที่รัสเซียมีระบบขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นดินสู่อากาศทันสมัยมากที่ฐานทัพในซีเรีย แต่ยังไม่สูงพอหากต้องรับมือกับอิสราเอล
การที่รัสเซียมีทหารอยู่ในฐานทัพของซีเรีย ทำให้มีแนวโน้มว่าสหรัฐจะไม่ใช้เครื่องบินคนขับเข้าไปโจมตี และขณะนี้ทางเลือกจะอยู่ที่เพียงการยิงด้วยขีปนาวุธโทมาฮอว์ก