เมื่อวันที่ 2 ต.ค. เอเอฟพีรายงานความคืบหน้าสงครามกลางเมืองอเลปโป ทางเหนือของประเทศซีเรีย หลังกองทัพซีเรียเปิดปฏิบัติการโจมตีทั้งทางภาคพื้นดินและทางอากาศตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยรุกเข้าสู่พื้นที่ในความควบคุมของกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ว่าเต็มไปด้วยความรุนแรงและโกลาหล มีชาวซีเรียกว่า 250,000 คน ถูกปิดล้อมอยู่กลางดงกระสุน และเป้าหมายการโจมตีของกองทัพซีเรียนั้นไม่เว้นแม้แต่โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ดังกล่าวด้วย และมีรายงานว่า กองทัพอากาศซีเรียใช้ระเบิดถัง (บาเรล บอมบ์) ระเบิดเพลิง และระเบิดดาวกระจาย (คลัสเตอร์ บอมบ์) ซึ่งทางสหประชาชาติ หรือยูเอ็น ห้ามใช้เนื่องจากไม่มีระบบนำวิถีและอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่พลเรือน โดยนายจอห์น แคร์รี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อโทรศัพท์สายตรงถึงนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศรัสเซีย เพื่อหารือเรื่องนี้ ท่ามกลางความล้มเหลวในการเจรจายุติสงครามในทุกช่องทางระหว่างสหรัฐกับรัสเซียในช่วงที่ผ่านมา
การโจมตีดังกล่าวทวีความรุนแรงมากที่สุด ถึงขนาดที่นักเทคนิคการแพทย์รังสีวิทยาในโรงพยาบาล เอ็ม10 ต้องส่งข้อความเสียงขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือ SOS ถึงบรรดาสื่อมวลชนทั้งท้องถิ่นและต่างชาติ ว่าโรงพยาบาลกำลังถูกทำลาย และบุคลากรทางการแพทย์ต้องเร่งอพยพผู้ป่วยออกจากสถานที่ดังกล่าวแล้ว นับเป็นครั้งที่ 2 ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ตกเป็นเป้าโจมตีของกองทัพซีเรีย หลังเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โรงพยาบาลเอ็ม10 และเอ็ม2 ถูกระเบิดของกองทัพซีเรีย ส่งผลให้เหลือโรงพยาบาลเพียง 6 แห่งที่ยังพอใช้การได้ในพื้นที่ของกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเมืองอเลปโป
ด้าน 6 ชาติสมาชิกของคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ หรือจีซีซี เรียกร้องให้ยูเอ็นดำเนินการเข้าแทรกแซงการสู้รบดังกล่าวในทันที เพื่อป้องการสูญเสียชีวิตของพลเรือน เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 220 ราย ขณะที่สงครามนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 300,000 ราย ขณะที่นายมาร์ติน ชูลซ์ ประธานรัฐสภาสหภาพยุโรป หรืออียู กล่าวว่า การโจมตีโรงพยาบาลถือเป็นอาชญากรรมสงคราม และเรียกร้องให้ประชาคมโลกผลึกกำลังกันเพื่อต่อต้านการโจมตีกวาดล้างของกองทัพซีเรียในเมืองอเลปโป เช่นเดียวกันกับนายฌอง-มาร์ก เอโร รมว.ต่างประเทศฝรั่งเศส ระบุว่า การโจมตีบุคลากรทางการแพทย์เป็นสิ่งไม่มีทางทำให้ถูกต้องได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน