อื้ออึงวาทะทรัมป์ขอปาฏิหาริย์ – ซีเอ็นเอ็น รายงานสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 วันที่ 28 ก.พ. ว่า วาทะของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ในการรับมือไวรัส ก่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางอีกครั้ง นอกจากไม่ทำให้นักลงทุนคลายความกังวล ทั้งยังคลางแคลงใจว่า รัฐบาลพร้อมรับมือกับการระบาดของเชื้อได้หรือไม่ หลังผู้เชี่ยวชาญคาดคะเนว่าจะพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น
“มันจะค่อยๆ หายไป ในวันหนึ่งราวกับมีปาฏิหาริย์ มันจะหายไป” นายทรัมป์กล่าวในงานแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว และว่า ไม่อยากเห็นอาการตื่นตระหนกเกินเหตุ รับรองว่าสหรัฐพร้อมมากและพร้อมอย่างที่สุดที่จะรับมือกับไวรัสโควิด-19 โดยแต่งตั้งนายไมก์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีเป็นหัวหน้าทีมรับมือแล้ว
“สถานการณ์นี้มันจะจบแน่ คุณไม่จำเป็นต้องเห็นอาการกลัวจนสติแตก เพราะมันไม่มีเหตุผลที่ต้องสติแตก” ผู้นำสหรัฐกล่าว
อย่างไรก็ตาม ดร.แอนน์ ชูแช็ต จากสำนักงานป้องกันและควบคุมโรค สหรัฐ หรือ ซีดีซี ที่ยืนอยู่ข้างๆ นายทรัมป์แถลงข่าว กล่าวว่า จากนี้ไปคาดว่าจะพบผู้ติดเพิ่ม และเป็นไปได้ที่จะพบชุมชนที่แพร่เชื้อโควิด-19 ขึ้นมาทันทีทันใด
ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกแล้วเกิน 83,000 คน มีผู้เสียชีวิตแล้ว 2,800 ราย สหรัฐพบผู้ติดเชื้อแล้ว 60 คน องค์การอนามัยโลกแถลงว่า การแพร่ระบาดเข้าสู่ระดับความเสี่ยงสูงสุดแล้ว
“เราไม่ประมาทถึงความเสี่ยง เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว วันนี้เราพูดได้ว่า ความเสี่ยงของโลกอยู่ในระดับสูงมาก เราเพิ่มจากสูงเป็นสูงมาก” นายทีโดรส กีบรีเยซุส ผอ.อนามัยโลก กล่าว
ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงระนาวกราวรูด ปิดสัปดาห์การซื้อขายอย่างย่ำแย่ที่สุดนับจากเกิดวิกฤตการเงิน เมื่อปี 2551 ดัชนีดิ่งลงต่อเนื่องติดต่อกันเป็นวันที่เจ็ด เนื่องจากนักลงทุนหวาดผวากับผลกระทบทางเศรษฐกิจโลก หลังเชื้อลุกลามไปแล้วทุกทวีป เหลือเพียงทวีปแอนตาร์กติกา
ดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐร่วงร้อยละ 2.5 ทันทีที่เปิดตลาดวันศุกร์ที่ 28 ก.พ. จากที่ร่วงไปก่อนหน้านี้แล้ว 1,085 จุด ส่วนตลาดหุ้นในยุโรปพากันดิ่งลงโดยพร้อมเพียงกัน เริ่มจากเยอรมนี ร่วงลงร้อยละ 5 อังกฤษ วูบลงร้อยละ 4.4 ส่วนอิตาลี ประเทศที่มีการระบาดสูงสุดในยุโรป และมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 17 ราย หุ้นดิ่งลดลงเกือบร้อยละ 4
ด้านเอเชีย หุ้นตลาดเซี่ยงไฮ้ ลดลงอีกร้อยละ 3.7 รวมทั้งสัปดาห์ ร่วงลงไปร้อยละ 5.6 นับว่าเลวร้ายสุดนับจากเดือนเม.ย.2562 ขณะที่ดัชนีนิกเคอิ ญี่ปุ่น ดิ่งลงร้อยละ 3.7 และดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ และดัชนีหุ้นออสเตรเลีย ร่วงลงในอัตราเท่ากันที่ร้อยละ 3.3