อดีตน.ช.โสมแดงเผยชะตากรรมสุดทารุณในค่าย แค่ถือศาสนา-ดูหนังซีรีส์
อดีตน.ช.โสมแดงเผยชะตากรรมสุดทารุณในค่าย – วันที่ 8 ต.ค. เดลีเมล์รายงานว่า การเปิดเผยความทารุณของอดีตนักโทษชาวเกาหลีเหนือ ที่เอาชีวิตรอดมาได้จากค่ายกักกันชอนโกรี ภายใต้การปกครองของนายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ
อดีตนักโทษที่ไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อ (เพื่ออารักขาความปลอดภัย) เล่าว่า ความผิดอาญาร้ายแรงของบรรดานักโทษในค่ายนี้ อาทิ นับถือศาสนาคริสต์ ลักลอบชมซีรีส์เกาหลีใต้ เป็นต้น
“ทุกๆ วัน พวกเราต้องออกไปเผาศพเพื่อนร่วมชะตากรรมของเราครับ มันจะมีอาคารหลังหนึ่งที่เป็นอ่างขนาดใหญ่ เราก็แบกศพไปโยนกองกันไว้ แล้วราดน้ำมันเผา” อดีตนักโทษระบุ
ชาวเกาหลีเหนือผู้นี้เล่าต่อว่า ค่ายกักกันแห่งนี้มีกลิ่นเหม็นรุนแรงคละคลุ้งไปทั่วจากเลือดและศพ เมื่อเผาศพเสร็จก็นำเถ้ากระดูกมาใช้เป็นปุ๋ยสำหรับการเพาะปลูก พอฝนตกก็จะชะเถ้ากระดูกไหลลงไปในแหล่งน้ำที่นักโทษอย่างพวกตนใช้ดื่มและอาบน้ำ
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่เผาศพได้ไม่สมบูรณ์เพราะฝนตกแล้วอากาศชื้นมาก บางครั้งนักโทษด้วยกันสะดุดชิ้นส่วนร่างกายของศพที่เผาไม่หมดจนล้มลงก็มี
เพื่อนคนนั้นเล่าให้ตนฟังว่า “ตอนปีนเขาในฟาร์มเพื่อโปรยปุ๋ย ข้าสะดุดอะไรก็ไม่รู้ล้มว่ะ ทีแรกนึกว่ากอไม้ ที่ไหนได้พอมองดีๆ มันหัวแม่โป้งคนนี่หว่า” ส่วนสาเหตุที่ค่ายกักกันแห่งนี้มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดในเกาหลีเหนือมาจากความโหดเหี้ยมทารุณของบรรดาผู้คุม
ชาวเกาหลีเหนือผู้นี้หลบหนีออกมาจากค่ายดังกล่าวได้สำเร็จและให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือ ของสภาคงเกรส ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือเอชอาร์เอ็นเค
รายงานของคณะกรรมาธิการ ระบุว่า ศพของนักโทษที่เสียชีวิตซึ่งถูกนำไปกองรวมกันไว้ในโกดังเพื่อรอเผาทิ้งนั้นถูกปล่อยให้เน่าเหม็นฟอนเฟะ และมีหนู รวมทั้งสัตว์นานาชนิดเข้าไปกัดแทะ
นอกจากนี้ เอชอาร์เอ็นเค ได้ใช้ดาวเทียมสอดแนมของสหรัฐ เพื่อถ่ายภาพที่ตั้งของค่ายแห่งนี้ไว้ได้ด้วย เผยให้เห็นชัดเจนถึงอาคารที่ใช้เผาทำลายศพ เรือนจำ และพื้นที่ใช้แรงงานหนัก หนึ่งในจำนวนนี้ เป็นเหมืองทองแดง ซึ่งสร้างมลภาวะให้แหล่งน้ำอุปโภคบริโภคของนักโทษด้วย
นายโจเซฟ เอส. เบอร์มูเดซ จูเนียร์ ประธานคณะผู้จัดทำรายงาน กล่าวว่า ได้รับทราบความทุกข์ทรมานในระดับที่ยากจะนึกภาพออกแล้ว และความโหดเหี้ยมภายใต้ระบบการคุมขังที่ปราศจากความยุติธรรมในเกาหลีเหนือ จำเป็นต้องเป็นที่รับรู้ของประชาคมโลก
นางอแมนดา มอร์ทเวดท์ ผู้ร่วมจัดทำรายงาน ระบุว่า การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักโทษในที่แห่งนี้ถือว่ายิ่งกว่าน่าสะอิดสะเอียน และทางการเกาหลีเหนือจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดต่อการกระทำดังกล่าว
ด้านนายเกร็ก สการ์ลาโทว หนึ่งในคณะกรรมาธิการเอชอาร์เอ็นเค ระบุถึงความผิดอุกฉกรรจ์ของนักโทษในค่ายนี้ว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนทั่วไปในสังคมโลก เช่น นับถือศาสนา โดยเฉพาะศาสนาคริสต์ ครอบครองพระคัมภีร์ไบเบิล เข้าถึงสื่อต่างชาติ โดยเฉพาะซีรีส์เกาหลีใต้
ความผิดอุกฉกรรจ์ยังรวมถึงไม่ให้ความเคารพต่อสื่อรูปภาพ หรือสิ่งพิมพ์ ที่มีรูปภาพของนายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และเหล่าอดีตผู้นำของชาติอย่างพ่อ และปู่ ของนายคิมด้วย
รายงานระบุว่า ค่ายกักกันชอนโกรี มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า เคียว-ฮวา-โซ แปลว่า สถานปรับทัศนคติ หมายเลขที่ 12 อยู่ที่จังหวัดฮัมยองเหนือ ทางภาคเหนือของประเทศ อยู่ห่างจากชายแดนจีนราว 24 กิโลเมตร
มีนักโทษถูกคุมขังกว่า 5 พันคน ในจำนวนนี้ ร้อยละ 60 เป็นผู้พยายามแปรพักตร์ข้ามชายแดนไปยังชาติอื่น ที่เหลือเป็นความผิดอุกฉกรรจ์ อาทิ นับถือศาสนา และแอบดูละครเกาหลี(ใต้)
นักโทษชายที่ถูกคุมขังในสถานปรับทัศนคติแห่งนี้จะต้องถูกใช้แรงงานหนัก อาทิ ประกอบเฟอร์นิเจอร์ และทำงานเหมืองแร่ ส่วนนักโทษหญิงจะต้องถูกใช้แรงงานเพื่อผลิตวิกผม ขนตาปลอม และทำปศุสัตว์
อดีตนักโทษผู้นี้ คาดว่า น่าจะมีเพื่อนนักโทษเสียชีวิตกว่า 800 ราย ในช่วง 8 เดือนที่ตนถูกขังอยู่ที่ดังกล่าว สาเหตุหลักมาจากการขาดแคลนอาหาร และถูกใช้แรงงานจนขาดใจตาย
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า มีผู้ถูกคุมขังในลักษณะข้างต้นอย่างน้อย 120,000 คน ทั่วเกาหลีเหนือ โดยทางการเกาหลีเหนือภายใต้การนำของนายคิม ยืนกรานปฏิเสธว่าไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะนี้ รวมถึงปฏิเสธว่าสถานที่เหล่านี้มีอยู่จริงในเกาหลีเหนือ เมื่อปี 2557