เอฟดีเอ อนุมัติใช้ “วัคซีนโควิด” ทรัมป์ลั่นล็อตแรกพร้อมฉีดก่อน 24 ชั่วโมง
เอฟดีเอ อนุมัติใช้ “วัคซีนโควิด” – เอเอฟพี รายงานวันที่ 12 ธ.ค. ถึงความคืบหน้าความพยายามยับยั้งวิกฤต โรคโควิด-19 ใน สหรัฐอเมริกา ว่า สำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (เอฟดีเอ) อนุมัติให้ใช้ วัคซีน ป้องกันโรคโควิด-19 ของ บริษัท ไฟเซอร์ ผู้ผลิตยายักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ที่พัฒนาร่วมกับ บริษัท บิออนเทค ของเยอรมนี เป็นการฉุกเฉินแล้ว
นางเดนิส ฮินตัน ประธานนักวิทยาศาสตร์ของเอฟดีเอ ระบุในจดหมายที่ส่งถึงฝ่ายบริหารของบริษัท ไฟเซอร์ เมื่อวันศุกร์ที่ 11 ธ.ค. ตามเวลาท้องถิ่น มีข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า “ดิฉันอนุญาตเป็นการฉุกเฉินให้ใช้วัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์-บิออนเทค เพื่อป้องกันโรคโควิด-19”
ส่งผลให้สหรัฐเป็นประเทศที่ 6 ของโลกที่อนุมัติใช้วัคซีน 2 โดสของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค ต่อจากสหราชอาณาจักร บาห์เรน แคนาดา ซาอุดีอาระเบีย และเม็กซิโก
ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมมริกา โพสต์คลิปวิดีโอผ่านบัญชีทวิตเตอร์ในเวลาต่อมาว่าวัคซีนล็อตแรกของประเทศจะพร้อมสำหรับฉีดในระยะเวลาน้อยกว่า 24 ชั่วโมง
“ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรของเรา ทั้งเฟดเอ็กซ์และยูพีเอส เราได้เริ่มขนส่งวัคซีนไปยังทุกรัฐและทุกๆ รหัสไปรษณีย์ในประเทศ” นายทรัมป์กล่าว และว่าผู้ว่าการรัฐในแต่ละรัฐจะเป็นคนตัดสินใจว่าใครควรได้รับการฉีดวัคซีนล็อตแรก
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเพียง 1 วันหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวัคซีนและยาชีววัตถุ (วีอาร์บีพีเอซี) ของเอฟดีเอ ออกแถลงการณ์แนะนำเอฟดีเอให้อนุมัติใช้วัคซีนไฟเซอร์-บิออนเทค ภายหลังประเมินข้อมูลแล้วว่าวัคซีนตัวนี้มีประสิทธิภาพที่เป็นประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงต่อผู้ได้รับการฉีดวัคซีน แม้พบผู้ฉีดวัคซีน 2 คนในสหราชอาณาจักรเกิดอาการแพ้ก็ตาม
นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นในช่วงที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่าทำเนียบขาวขู่จะปลดนายสตีเฟน ฮาห์น ผู้อำนวยการเอฟดีเอ หากไม่ยอมอนุมัติใช้วัคซีนเป็นการฉุกเฉินด้วย
สำหรับสถานการณ์ไวรัสมรณะของสหรัฐ ในช่วง 24 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. มีผู้ติดเชื้อใหม่ตามข้อมูลจากเวิลด์โอมิเตอร์อีก 246,530 คน ถือเป็นตัวเลขผู้ป่วยรายวันที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศและของโลก ทั้งยังทุบสถิติเดิม 238,065 คนเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มเป็นเกือบ 16.3 ล้านคน และเสียชีวิตแล้ว 302,750 ราย
++++
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : คณะที่ปรึกษาฉลุย FDA อนุมัติ “วัคซีนโควิด” ชี้มีประสิทธิภาพมากกว่าความเสี่ยง