เด็กชายชาวอังกฤษ ผู้คลั่งไคล้วิทยาศาสตร์ต้องเข้ารับการผ่าตัดช่วยชีวิต 6 ชั่วโมงหลังจากกลืนแม่เหล็ก 54 ชิ้นเพื่อทำการทดลองเหล็กจะติดท้องเขาหรือไม่
ไรลีย์ มอร์ริสัน จากแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษได้กินแม่เหล็กขนาดเล็ก เพื่อทดลองว่าวัตถุที่เป็นโลหะจะยึดติดอยู่กับท้องของเขาหรือไม่เมื่อเหล็กเหล่านั้นอยู่ในร่างกาย แต่หลังจากนั้นสี่วันไรลีย์ก็ยังไม่ขับถ่ายแม่เหล็กเหล่านั้นออกมา เขาจึงบอกกับแม่ของเขาว่าเขา ‘บังเอิญ’ กลืนแม่เหล็กไปสองลูก
เธอรีบพาเขาไปโรงพยาบาล เมื่อแพทย์ทำการเอ็กซเรย์ก็ต้องตกตะลึงเมื่อพวกเขาพบของเล่นแม่เหล็ก 54 ชิ้นในกระเพาะอาหารและลำไส้ของไรย์ลีย์ ด้วยความกังวลที่ว่าแม่เหล็กเหล่านั้นอาจจะทำปฏิกิริยาและไหม้เนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่สำคัญซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายภายในที่อาจถึงแก่ชีวิต ทำให้ไรลีย์ ต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน
ทั้งนี้ไรลีย์เป็นเด็กที่สนใจในวิทยาศาสตร์ และเขาก็ชอบการทดลองเป็นอย่างมาก สุดท้ายแล้วเขาก็ยอมรับว่าที่เขากลืนแม่เหล็กเข้าไปนั้น เพราะว่าเขาอยากจะรู้ว่าทองแดงจะติดเข้าที่ท้องของเขาหรือไม่หากเขามีแม่เหล็กอยู่ในท้อง แม่ของไรลีย์กล่าวว่า “มันโง่มาก แต่เขายังเด็กและนั่นคือสิ่งที่เด็ก ๆ ทำ” นอกจากนี้เขายังคิดว่ามันน่าจะสนุกดีหากเห็นแม่เหล็กเหล่านั้นออกมาจากร่างกายระหว่างการขับถ่าย
ไรลีย์เป็นโรคออทิสติกและสมาธิสั้นเขาได้แม่เหล็กชุดนี้เป็นของขวัญคริสต์มาส และเขาได้เก็บเงินซื้อเองอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเขาได้กินแม่เหล็กเข้าไปสองครั้ง แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมีความกังวลเมื่อไม่มีแม่เหล็กสักชิ้นออกมาจากร่างกายเขาเลย
หลังจากที่เขารับการผ่าตัดนานกว่า 6 ชั่วโมง เขาก็ต้องเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการกินแม่เหล็ก กว่า 10 วันที่เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ทั้งยังอาเจียนเป็นของเหลวสีเขียวที่เกิดจากการรั่วของลำไส้ นอกจากนี้เขายังไม่สามารถรับประทานอาหารหรือเข้าห้องน้ำได้และจำเป็นต้องให้อาหารทางท่อและใส่สายสวนเข้าไป
ตอนนี้ไรลีย์กำลังพักฟื้นที่บ้าน แม่ของเขาต้องการแชร์เรื่องราวดังกล่าวให้เป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ปกครองเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากของเล่นลูกบอลแม่เหล็ก อย่างไรก็ตามแพทย์ได้กล่าวว่าที่ผ่านมามีเด็กที่กลืนแม่เหล็กลงไปแต่พวกเขาไม่โชคดีและต้องลงเอยด้วยการตัดลำไส้ทิ้ง ซึ่งการกลืนแม่เหล็กลงไปนั้นอาจอันตรายถึงชีวิต ลำไส้อาจฉีกและส่งผลให้ติดเชื้อแบคทีเรีย การรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยหลีกเลี่ยงอาการรบาดเจ็บที่รุนแรงมากขึ้น
ที่มา : dailymail
