ช็อกความไม่สงบใน “โมซัมบิก” – วันที่ 16 มี.ค. บีบีซี รายงานว่า องค์กรให้ความช่วยเหลือ Save the Children เปิดเผยรายงานสถานการณ์การก่อความไม่สงบในโมซัมบิก ชาติในแอฟริกาตะวันออก ว่า กลุ่มก่อการร้ายที่ภักดีต่อกองกำลังรัฐอิสลาม หรือไอเอส ตัดศีรษะเด็กอายุที่มี่น้อยสุดถึง 11 ขวบ ในจังหวัดคาโบเดลกาโด ทางเหนือของประเทศ

โมซัมบิก

AFP

รายงานฉบับดังกล่าวถ่ายทอดคำพูดจากบรรดาครอบครัวผู้พลัดถิ่นที่บอกเล่าฉากน่าสยดสยองในจังหวัดดังกล่าว ซึ่งอุดมไปด้วยก๊าซธรรมชาติ เช่น แม่คนหนึ่ง ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อเพื่อความปลอดภัย ระบุว่า ลูกคนโตถูกตัดศีรษะใกล้สถานที่ที่เธอและลูกคนอื่นๆ หลบซ่อนตัว

“คืนนั้นหมู่บ้านเราถูกโจมตีและบ้านถูกเผาทำลาย ตอนเกิดเหตุ ฉันอยู่บ้านกับลูก 4 คน เราพยายามหลบหนีเข้าไปในป่า แต่กลุ่มก่อการร้ายคว้าตัวลูกชายคนโตและตัดศีรษะ เราทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเราจะถูกฆ่าด้วย”

ส่วนแม่อีกคนหนึ่งบอกว่า ลูกชายถูกกลุ่มก่อการร้ายสังหาร ขณะที่แม่และลูกอีก 3 คน ต้องหลบหนี “หลังจากที่ลูกชาย 11 ขวบ ถูกสังหาร เราเข้าใจว่าไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ในหมู่บ้านของเราอีกต่อไป เราหลบหนีไปบ้านพ่อในอีกหมู่บ้านหนึ่ง แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นเกิดการโจมตีเช่นกัน”

แชนส์ บริกก์ส ผู้อำนวยการ Save the Children ในโมซัมบิก กล่าวว่า รายงานการโจมตีเด็กๆ สร้างความเจ็บปวดใจ “พนักงานของเราน้ำตาซึมเมื่อได้ยินเรื่องราวความทุกข์ทรมานที่บรรดาแม่บอกเล่าในค่ายผู้พลัดถิ่น”

ขณะที่ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยวิสามัญฆาตกรรมอธิบายว่า การกระทำของกลุ่มก่อการร้าย “โหดร้ายเกินคำบรรยาย”

โมซัมบิก

AFP

ทั้งนี้ การก่อความไม่สงบในโมซัมบิกปะทุมาตั้งแต่ปี 2560 ประชาชนถูกสังหารไปแล้วมากกว่า 2,500 ราย และอีก 700,000 คน ต้องละทิ้งถิ่นฐาน โดยฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายอิสลาม กลุ่มอัล-ชาบับ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากวัยรุ่นผู้ว่างงานส่วนใหญ่ในจังหวัดคาโบเดลกาโดซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ และเป็นพันธมิตรกับไอเอสตั้งแต่ปี 2562 ส่วนอีกกลุ่มก่อการร้ายอยู่ในโซมาเลียมาหลายสิบปี เป็นพันธมิตรกับอัลกออิดะห์ และเป็นคู่แข่งกับไอเอส

รัฐบาลโมซัมบิกร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อระงับสถานการณ์การก่อความไม่สงบ เนื่องจากกองทัพมีความพร้อมไม่เพียงพอในการต่อสู้ ขณะที่เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐประจำกรุงมาปูโต เมืองหลวง กล่าวเมื่อวานว่า เจ้าหน้าที่ทหารอเมริกันจะใช้เวลาฝึกทหารโมซัมบิก 2 เดือนพร้อมจัดหาอุปกรณ์การแพทย์และการสื่อสารด้วย

การเข้ามาช่วยเหลือของสหรัฐเป็นไปตามรายงานที่โมซัมบิกคัดเลือกทหารรับจ้างรัสเซียและแอฟริกาใต้เพื่อช่วยต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายอิสลาม

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

วิกฤตเกินคาด พายุไซโคลน “อิดาอี” ถล่มโมซัมบิก คร่าแล้ว 300 ศพ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน