ไอซ์ระบาดหนักช่วงโควิด ยูเอ็นชี้สูงสุดประวัติการณ์มาจากกัมพูชา ลาว เวียดนาม พม่า และไทย
ไอซ์ระบาดหนักช่วงโควิด – วันที่ 10 มิ.ย. ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ช่วงที่ประชาคมโลกกำลังเผชิญกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาปี 2019 หรือโควิด-19 ระบาดใหญ่ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่กำลังระบาดหนักเป็นประวัติการณ์ด้วย คือ ยาไอซ์ หรือเมธแอมเฟตามีน
ข้อมูลดังกล่าวมาจากรายงานประจำปี 2563 ของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) พบสถิติการจับกุมสารเมธแอมเฟตามีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 19
การเพิ่มขึ้นดังกล่าวนั้นเปรียบเทียบกับเมื่อปี 2562 ถือว่าเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้รายงานไม่ได้ระบุมูลค่าไว้ แต่จากการคำนวณของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ประเทศสหรัฐอเมริกา มีมูลค่ากว่า 1.9 ล้านล้านบาท (สถิติปี 2562)
นายเจเรมี ดักลาส ผู้แทน UNODC ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก กล่าวว่า แม้การระบาดของโรคโควิด-19 จะทำให้เศรษฐกิจพังทลาย และแต่ขบวนการค้ยาเสพติดปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อหาประโยชน์จากวิกฤตที่เกิดขึ้น ด้วยการทุ่มตลาดด้วยยาเสพติดปริมาณมหาศาล เพื่อกระตุ้นการเสพ นำไปสู่ความต้องการของตลาดที่สูงขึ้น
UNODC ระบุว่า ปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้นส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เวียดนาม เมียนมา (พม่า) และไทย ในช่วงที่ทางการกำลังหัวหมุนอยู่กับการของระบาดโรคโควิด-19
การตรวจสอบของหน่วยงาน UNODC พบว่า โรงงานใหญ่ส่วนมากตั้งอยู่ในกัมพูชา และรัฐฉานของพม่า รวมทั้งเปลี่ยนเส้นทางเคลื่อนย้าย และสารตั้งต้นที่ใช้ผลิตยาไอซ์ เพื่อหลบหลีกการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ด้วย
ศูนย์กลางการกระจายยาไอซ์ยังถูกเปลี่ยนไปใช้ฮ่องกงมากขึ้น สะท้อนจากปริมาณการจับกุมในจีนเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า ในปี 2562 ถึง 2563 และ ล่าสุด เป็นภาวะสงครามกลางเมืองในพม่าก็ยังถูกขบวนการเหล่านี้นำมาใช้ประโยชน์ด้วย ทำให้ปัญหายาเสพติดจะยังทวีความรุนแรงในปีนี้
“ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจพังทลายแบบนี้เป็นจังหวะธุรกิจผิดกฎหมายจะเฟื่องฟูครับ เป็นสถานการณ์ที่เรากลัวที่สุด เพราะอาชญากรเหล่านี้จะคอยหาช่องเพื่อฉกฉวยโอกาสสร้างความร่ำรวย”
“การที่ตอนนี้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานรัฐกำลังหัวหมุนอยู่กับเรื่องอื่นถือเป็นโอกาสทองของเหล่าคนร้ายกลุ่มนี้ เพราะธุรกิจของพวกเค้าเติบโตบนความพังพินาศของคนอื่นที่ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของกฎหมายครับ” ดักลาส ระบุ