เผยชีวิตพม่าในไทย – ซีเอ็นเอ็น รายงานส้มภาษณ์เรื่องราวชีวิตชาวเมียนมาที่เข้ามาทำงานในไทย และได้รับผลกระทบใหญ่ ทั้งจากเหตุการณ์รัฐประหาร และสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาด
ซู ตานดา วิน อายุ 26 ปีและซอว์ สามี จากบ้านเกิดในเมียนมาเพื่อมาทำงานเป็นแรงงานในโรงงานที่กรุงเทพฯ และส่งเงินกลับไปให้ทางบ้านเป็นค่าเลี้ยงดูลูกชายอายุ 7 ขวบที่ฝากยายเลี้ยงดูแล
ซู ตานดา วินและสามีไม่ได้กลับไปเห็นหน้าลูกที่เมียนมา 2 ปีกว่าแล้ว ยิ่งตอนนี้ ยิ่งกลับไปลำบากเพราะตั้งแต่เกิดโควิด-19 ระบาด ทำให้ปิดพรมแดนเมียนมา–ไทย ตั้งแต่ มี.ค.2563
สถานการณ์เลวร้ายลง เมื่อเกิดรัฐประหารในเมียนมา วันที่ 1 ก.พ. เพราะทหารตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์มือถือทำให้โทรศัพท์กลับบ้านไม่ได้
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นดีพี ระบุว่าระบบธนาคารเกือบล่มสลาย เนื่องจากไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต จึงโอนเงินไม่ได้
ทุกๆ เช้า ชาวเมียนมาจะมาต่อแถวยาวเหยียดยืนรอหลายชั่วโมงด้านนอกธนาคารและตู้เอทีเอ็มทั่วประเทศเพื่อถอนเงิน แต่จำกัดให้ถอนเงินสดได้เพียงรายละ 2 แสนจ๊าตหรือประมาณ 3,720 บาทต่อวัน เอทีเอ็มบางตู้ไม่มีเงินให้ถอนแล้ว เนื่องจากประชาชนเลิกฝากเงินกับธนาคารเพราะไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัยหรือไม่
ซู ตานดา วิน กล่าวว่าตามปกติจะส่งเงินกลับไปให้ทางบ้านซึ่งครอบครัวจะได้รับเงินสดในวันถัดมา แต่หลังจากอินเทอร์เน็ตถูกตัดทำให้โอนเงินไม่ได้ ตนจึงเป็นห่วงลูกมากเพราะได้ยินมาว่ากองทัพจับเด็กผู้ชายและผู้ชายในหมู่บ้านไปบังคับใช้แรงงาน แม้อยากกลับไปหาครอบครัวในเมียนมา แต่คงเป็นไปไม่ได้ในขณะนี้ เพราะอาจถูกจับ ถึงจะไม่ได้ร่วมประท้วงก็ตาม
ด้านกลุ่มแรงงานอพยพคาดว่าอาจมีชาวเมียนมา 1 ใน 1.7 ล้านคนทำงานในประเทศไทย ส่วนองค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ไอแอลโอ ประเมินว่าในปี 2558 แรงงานอพยพชาวเมียนมาส่งเงินกลับบ้านเกิด 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 434,000 ล้านบาท
คนจนเพิ่มพรวดในเมียนมา
องค์การสหประชาชตาติเผยแพร่รายงานเมื่อสิ้นเดือน เม.ย. ว่าอาจมีชาวเมียนมาถึงครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศจะหตกอยู่ในฐานะยากจนภายในต้นปีหน้าและครัวเรือนชาวเมียนมาร้อยละ 83 รายได้ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งเพราะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19
ก่อนรัฐประหาร พี่ชายของ “คริสตินา” (นามแฝง) ส่งเงินจากไทยมาให้เดือนละ 240 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,440 บาท เพื่อเป็นค่าอาหารและยาสำหรับสมาชิกครอบครัว 10 คนในเมียนมา แต่หลังจากกองทัพยึดอำนาจ ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดชะงัก รวมทั้ง ธนาคารปิดทำการ
ความเป็นอยู่ของชาวบ้านยากเข็ญยิ่งขึ้น จากเดิมที่ไม่มีแพทย์และพยาบาล แต่ 2-3 เดือนมานี้ แม้แต่ยาก็หาซื้อลำบาก
นอกจากนี้ ครอบครัวต้องทิ้งบ้านในรัฐชินเพราะเกิดการสู้รบและไปอาศัยในค่ายผู้ลี้ภัย
ส่วน “ไว” (นามแฝง) กล่าวว่าน้องชายทำงานในไทยและเคยส่งเงินมาให้แม่ที่แก่ชราเดือนละ 150-180 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4,650-5,580 บาท ก่อนหน้านี้ แม่มีเงินเก็บอยู่บ้างซึ่งคิดว่าจะคืนเงินเงินให้ลูกชาย แต่เงินออมหมดเกลี้ยงภายในเดือนเดียวทำให้ต้องขอยืมเงินจากญาติๆ ในหมู่บ้านเพราะตนช่วยเหลือการเงินแม่ไม่ได้มาก เนื่องจากรายได้ลดลง
ห่วงความปลอดภัยคนทางบ้าน
ขณะที่ “มา โอ” อาศัยในไทยมา 20 ปีแล้วโดยช่วยแรงงานอพยพด้านเอกสารการทำงานตามกฎหมายและสนับสนุนสิทธิของแรงงานอพยพ ส่วนลูกๆ เรียนหนังสือในไทย แต่ยังอดเป็นห่วงครอบครัวในรัฐฉานไม่ได้
เพราะพ่อของมา โอทำงานด้านประชาสัมพันธ์ให้พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ เอ็นแอลดี ซึ่งอาจจะถูกจับไปแล้วและติดต่อพ่อไม่ได้มา 4 เดือนแล้ว
ด้าน เมียต แรงงานเมียนมาในกรุงเทพฯ เผยว่า ห่วงความปลอดภัยของครอบครัวในเมียนมามาก ตนมีญาติทำงานอยู่เหมืองทองอยู่ที่รัฐกะยา ภาคตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม ทหารเข้าไปทิ้งระเบิด สังหารคนงานเหมืองตายไป 11 ราย
“ผมรับไม่ได้เลย คนงานเหมืองเป็นคนบริสุทธิ์ที่มาจากป่า พวกเขาไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่ได้รู้ว่าเกิด อะไรขึ้น แต่กลับตกเป็นเหยื่อการโจมตี” เมียตกล่าว
ส่วน “โจจานิ” อายุ 35 ปี ทำงานร้านเบเกอรีในกรุงเทพฯ กล่าวว่าพี่ชายถูกทหารจับตัวไป 3 วัน เพราะทหารจับตัวแกนนำประท้วงไม่ได้ จึงจับตัวพี่ชายไปแทน
ตนเป็นห่วงครอบครัวมาก แม่ก็แก่แล้ว แต่ตนกลับบ้านไปช่วยครอบครัวไม่ได้ อีกทั้ง ตั้งแต่โควิด-19 ระบาด หาเงินยากขึ้นและยังต้องกันเงินไว้จ่ายค่าที่พักและอาหาร จึงส่งเงินกลับบ้านมากเหมือนเดิมไม่ได้
///////////////
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :