โควิด ไต้หวันพลิกเกมไว ไฟเขียววัคซีนท้องถิ่น เร่งผลิตลุยฉีดทันที(ฟรี)
โควิด – วันที่ 19 ก.ค. เอเอฟพี รายงานว่า ทางการไต้หวันอนุมัติให้ใช้งานเป็นกรณีฉุกเฉิน หรืออียูเอ วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาปี 2019 หรือโควิด-19 ที่พัฒนาโดยบริษัทยาในไต้หวัน หลังทดสอบพบมีประสิทธิศักย์ในระดับเดียวกับวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้า
การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความยากลำบากของไต้หวันในการนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาฉีดให้ประชาชนกว่า 23 ล้านคน และสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์เดลต้า (พบครั้งแรกในประเทศอินเดีย) ที่กำลังลุกลามอย่างรวดเร็วทั่วโลก
รายงานระบุว่า วัคซีนดังกล่าวพัฒนาโดยบริษัท เมดิเจน วัคซีน ไบโอโลจิกส์ คอร์ป (เอ็มวีซี) มีรหัสว่า MVC-COV1901 อยู่ระหว่างการทดสอบทางคลีนิกในระยะที่ 3 โดยเพิ่งเผยแพร่ผลการศึกษาในระยะที่ 2 ไปเมื่อเดือนมิ.ย. พบว่าให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
กระทรวงสาธารณสุขไต้หวัน ระบุว่า คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญอนุมัติการใช้งานเป็นกรณีฉุกเฉินแล้วในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะเริ่มฉีดให้ประชาชนได้ทันทีในเดือนส.ค.นี้
อย่างไรก็ดี ทางการไต้หวันไม่ได้เปิดเผยตัวเลขค่าประสิทธิศักย์ (Efficacy) ของวัคซีน แต่ระบุว่า มีประสิทธิศักย์อยู่ไม่แย่ไปกว่าวัคซีนของบ.แอสตร้าเซนเนก้า จากประเทศอังกฤษ และไม่มีปัญหาร้ายแรงด้านความปลอดภัย
นายเฉิน สือจง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จะต้องใช้เวลาขยายกำลังผลิตของโรงงานสักระยะหนึ่ง แต่คาดว่าจะได้ล็อตแรกมาฉีดให้ประชาชนได้ภายในเดือนส.ค.นี้
วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากบ.เมดิเจน เป็นวัคซีนที่ใช้หลักการ “ซับยูนิต” (คล้ายโนวาแว็กซ์) เป็นการนำชิ้นส่วนโปรตีนหนามของไวรัสฉีดเข้าไปในร่างกายเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเป้าหมายขึ้นมา โดยจะต้องฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ในผู้มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
สธ.ไต้หวัน ระบุอีกว่า มีคำสั่งให้ทางบ.เมดิเจน สังเกตการณ์และจัดทำรายงานด้านความปลอดภัยของวัคซีนส่งให้กับทางหน่วยงานทุกเดือน ตลอดจนจัดส่งรายงานสรุปประสิทธิภาพของวัคซีนภายในสิ้นปี 2564
ทางการไต้หวันลงนามในสัญญาซื้อวัคซีนจากทางบ.เมดิเจนแล้วจำนวนทั้งสิ้น 5 ล้านโดส และจากเอกชนอีกแห่งชื่อว่า บริษัท ยูไนเต็ด ไบโอเมดิคอล ในจำนวนเท่ากัน แต่วัคซีนของผู้พัฒนานี้ยังไม่ได้รับอียูเอจากหน่วยงานไต้หวัน
ทั้งนี้ ไต้หวันเป็นหนึ่งพื้นที่น้อยแห่งที่ได้รับคำชื่นชมจากประชาคมโลก ว่ามีมาตรการสกัดกั้นการระบาดโรคโควิด-19 ที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะสามารถสกัดกั้นการระบาดในช่วงแรกของการระบาดใหญ่ได้ชะงัดเป็นเวลานานเกือบ 1 ปี ด้วยการกักตัว และการติดตามการระบาดที่ว่องไว
ไต้หวันเข้าสู่สถานการณ์เพลี่ยงพล้ำจากกลุ่มก้อนการระบาด หรือคลัสเตอร์ ที่เกิดขึ้นในกลุ่มนักบินของสายการบินพาณิชย์ ก่อนจะลุกลามกลายเป็นการระบาดระดับชุมชน เมื่อเดือนพ.ค. โดยล่าสุด ไต้หวันมีผู้ติดเชื้อสะสมแล้วกว่า 15,000 คน ในจำนวนนี้ เสียชีวิตแล้วเกือบ 800 ราย
นอกจากนี้ ไต้หวันนั้นตกอยู่ในสถานการณ์ขาดแคลนวัคซีนอย่างหนัก โดยเพิ่งนำเข้าวัคซีนไปได้เพียง 726,000 โดส และต่อมาได้รับบริจาคจากทางการสหรัฐอเมริกาอีก 2.5 ล้านโดส และทางการญี่ปุ่นอีก 3.37 ล้านโดส
กรณีดังกล่าวกลายเป็นดราม่าทางการเมืองระหว่างประเทศหลังรัฐบาลไต้หวันกล่าวโทษทางการจีนว่าอยู่เบื้องหลังการบ่อนทำลายความพยายามของไต้หวันในการบรรลุข้อตกลงจัดซื้อวัคซีนกับบ.บิออนเทค ประเทศเยอรมนี กระทั่งล่าสุด ได้รับความช่วยเหลือจากเอกชนใหญ่ 2 แห่ง
บริษัทเอกชนใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ บ.ฟ็อกซ์คอนน์ (ผลิตไอโฟนให้แอปเปิ้ล) และบ.ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟ็กเจอริ่ง คอมปานี หรือทีเอสเอ็มซี (ผู้ผลิตชิพประมวลผลรายใหญ่ที่สุดของโลก) ได้รับแต่งตั้งให้เจรจากับทางบริษัทบิออนเทค ในฐานะหน่วยงานรัฐ
บริษัทฟ็อกซ์คอนน์ และบริษัททีเอสเอ็มซี เพิ่งประกาศลงนามซื้อวัคซีนกับบ.โฟซุน ฟาร์มา ที่นครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายของบ.บิออนเทค และจะนำวัคซีน 5 ล้านโดสมาบริจาคให้รัฐนำไปฉีดประชาชน อย่างไรก็ดี ไต้หวันจำเป็นต้องหาวัคซีนเพิ่มอีก เพราะยังไม่เพียงพอกับทุกคน
++++++
อ่านข่าว :
โควิด: ฟ็อกซ์คอนน์-ทีเอสเอ็มซี จากไต้หวัน บรรลุดีลซื้อวัคซีน10ล้านโดส จากบิออนเทค