บราซิลวิกฤตอดอยากคุ้ยซากสัตว์ – วันที่ 4 ต.ค. เดอะการ์เดียน รายงานภาพสุดสะเทือนใจจากสถานการณ์วิกฤตความอดอยากแร้นแค้นจากสภาพเศรษฐกิจพังทลายในประเทศบราซิล จากความล้มเหลวในการรับมือการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาปี 2019 หรือโควิด-19
ภาพเหล่านี้เป็นชาวบราซิลที่ได้รับผลกระทบรุนแรงทางเศรษฐกิจต้องขุดคุ้ยหาเศษกระดูกและเนื้อจากซากสัตว์โรงงานชำแหละ ซึ่งปกติแล้วถูกนำไปทำเป็นอาหารสัตว์เลี้ยงและส่วนประกอบโรงงานทำสบู่อาบน้ำ
ผลงานดังกล่าวเป็นของทีมข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เอ็กซ์ตร้า ที่นครริโอ เดอ จาเนโร โดยช่างภาพชื่อนายโดมิงกอส เปอิโซโต ได้รับรางวัลภาพข่าว และได้รับเลือกให้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ สร้างความเดือดดาลให้กับผู้คนที่ออกมาเดินขบวนขับไล่รัฐบาลบราซิล
นายโฮเซ ดิวิโน ซานโตส คนขับรถรับซื้อซากสัตว์จากโรงงานชำแหละ ให้สัมภาษณ์กับนายราฟาเอล นาสซิเมนโต เดอ โซซา ผู้สื่อข่าวของเอ็กซ์ตร้า ว่าบางวันตนรู้สึกต้องการร้องไห้
“ก่อนหน้านี้ผู้คนมาคอยขอเศษเนื้อและกระดูกไปให้สุนัขที่บ้านครับ แต่ตอนนี้พวกเขามาขอไปทำอาหารกินกันเองแล้ว” นายซานโตส ระบุ
"Antes as pessoas passavam aqui e pediam um pedaço de osso para dar pros cachorros. Hoje elas imploraram por um pouco de ossada pra fazer comida. O meu coração doi" – José Divino, motorista do caminhão dos ossos pic.twitter.com/cx6mtKeue5
— Cecília Olliveira (@Cecillia) September 29, 2021
นางเดนิส ดา ซิลวา หญิงอายุ 51 ปี ที่เดินทางมาขอเศษกระดูก กล่าวว่า ต้องนำกลับไปทำอาหารให้กับลูก 5 คน และหลายอีก 12 คน โดยสามีของตนเพิ่งเสียชีวิตไปด้วยโรคโควิด-19 ตนซาบซึ้งใจมากที่ได้เศษเนื้อและกระดูกเหล่านี้ไปรับประทาน
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความเดือดดาลของชาวบราซิลที่มีต่อรัฐบาล โดยเฉพาะประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลซานาโร ผู้นำบราซิล ที่การรับมือโรคโควิด-19 นั้นถูกประณามจากประชาคมโลก ขณะที่หน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์เอ็กซ์ตร้านั้นพาดหัวตัวใหญ่ว่า “บราซิล 2021: ความหิวโหยที่น่าเจ็บปวด” สร้างแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงในสังคม
รายงานระบุว่า มีชาวบราซิลต้องเผชิญกับความอดอยากหิวโหยแล้วกว่า 19 ล้านคน ตั้งแต่การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งคร่าชีวิตชาวบราซิลไปแล้วกว่า 6 แสนราย เช่นเดียวกันกับสถานการณ์ความหิวโหยในชาติละตินอเมริกาเพื่อนบ้านอย่างเวเนซุเอลา
มหาวิทยาลัยเวเนซุเอลา ระบุว่า หลังการระบาดของโรคโควิด-19 มีประชากรที่ผู้มีรายได้น้อยถึงร้อยละ 77 โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 67 ในปี 2563 สาเหตุมาจากโรคโควิด-19 และภาวะขาดแคลนเชื้อเพลิง
ความเดือดดาลดังกล่าวสะท้อนจากการเดินขบวนขับไล่ผู้นำบนท้องถนนของนครริโอ เดอ จาเนโร โดยระบุว่า สถานการณ์ที่บราซิลกำลังเผชิญนั้นเป็นหายนะทางสังคม และหลายคนนั้นกล่าวโทษไปที่ประธานาธิบดีโบลซานาโร
นายอเล็กซ์ เฟรอเช็ต อายุ 43 ปี ศิลปินวาดภาพที่เดินทางมาร่วมประท้วงพร้อมภาพประธานาธิบดีโบลซานาโรหัวเราะมีความสุขข้างเด็ก 3 คน ที่ถือชามข้าวใส่กระดูก กล่าวโจมตีว่า การบริหารจัดการของผู้นำบราซิลนั้นไร้มนุษยธรรม
ขณะที่นายโฮเซ่ เฟอร์รีร่า บาร์โบซา มัณฑนากรอายุ 63 ปี ระบุว่า วิกฤตความอดอยากขณะนี้เลวร้ายมาก หลายคนถึงขั้นต้องเก็บกระดูกซากสัตว์มาปรุงอาหาร และบางคนไม่มีอาหาร
เช่นเดียวกันกับนางโรซา มาเรีย ซาเวียร์ ดา ซิลวา ผู้ประกอบการร้านขายของชำ ระบุว่า กำลังเผชิญกับความยากลำบากต้องหาเลี้ยงดูหลาย 8 คน ด้วยเงินช่วยเหลือคนชราจากรัฐเดือนละ 780 บาท พร้อมกล่าวโจมตีรัฐบาล ว่าทำงานได้น่าอัปยศอดสูมาก
ภาพข่าวดังกล่าวยังถูกนำขึ้นกล่าวในรัฐสภาบราซิลโดยวุฒิสมาชิก ฮัมเบอร์โต คอสตา ที่ระบุว่า เป็นสิ่งที่สะท้อนโศกนาฏกรรมทางสังคมจากการบริหารงานของรัฐบาลของนายโบลซานาโร
“ปัญหาคนว่างงาน ความไม่เท่าเทียม ความยากจนล้วนเพิ่มมากขึ้น และความหิวโหยกลับมาอีกครั้ง นี่แหละคือผลงานของรัฐบาลชุดนี้ทำไว้ให้กับประเทศชาติของพวกเรา”
ด้านนายเปอิโซโต้ ช่างภาพ ระบุว่า แม้ตนจะเคยทำงานในสมรภูมิปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดมานานหลายสิบปี ก็ยังรู้สึกช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และภาพที่ชาาวบราซิลต้องคุ้ยกองกระดูกเศษเนื้อเพื่อนำไปประกอบอาหาร ทำให้ตนนอนไม่หลับไปถึง 2 วัน เพราะตกตะลึงอย่างมาก
“ไม่ใช่แค่คนไร้บ้านที่ต้องใช้ฟืนทำอาหาร ตอนนี้คนทั่วไปก็ต้องใช้ฟืนกันแล้ว พวกเราจำเป็นต้องบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้สังคมรับรู้สักทาง”
เปอิโซโต้ ยังเล่าถึงภาพติดตาเป็นภาพรถบรรทุกเศษกระดูกและเศษเนื้อที่อยู่ในสภาพเริ่มเน่าเปื่อย แต่ผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนรอก็ยิ้มด้วยความดีใจ เพราะรู้ว่าจะได้มีอาหารรับประทานแล้ว แต่ตนไม่ได้ถ่ายภาพนั้นไว้ เพราะเป็นภาพที่สยดสยองติดตามาก
ส่วนนายเดอ โซซา ผู้สื่อข่าว เล่าประสบการณ์ให้ฟังด้วยว่า ตนตะโกนบอกให้ชาวบ้านอย่านำกระดูกและเศษเนื้อเหล่านั้นไปปรุงอาหาร แต่มีหญิงสูงวัยหันมาตอบว่า “หนุ่มเอ้ย ถ้าไม่กินก็อดตายกันล่ะ”
“สภาพความเป็นจริงที่เห็นอย่างนี้ ถ้าไม่ทำให้คุณเดือดดาล หรือรู้สึกอะไรเลย ผมก็ไม่รู้แล้วว่าอะไรมันจะสยองไปกว่านี้” เดอ โซซา ระบุ
