สลดชะตาพยาบาลด่านหน้า – เดอะ การ์เดียน รายงานชะตาชีวิตสุดเศร้าของ เลนิลดา โดส ซานโตส ผู้ช่วยพยาบาลชาวบราซิล ทำหน้าอยู่ด่านหน้ารับมือกับการระบาดของโควิด-19 มีส่วนช่วยชีวิตคนไว้มากมาย แต่กลับต้องจบชีวิตในวัย 49 กลางทะเลทราย ชายแดนสหรัฐอเมริกา
เลนิลดามีความฝันว่าจะไปหาเพื่อนเก่าในรัฐโอไฮโอ สหรัฐ และหางานทำเพื่อส่งเงินเป็นค่าเล่าเรียนของลูกสาว 2 คนที่กำลังศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
ก่อนออกเดินทางจากเมืองวาเล โด ปาไรโซ รัฐรอนโดเนีย ทางเหนือของบราซิล หญิงสาวร่ำลาเพื่อนร่วมงานและสัญญาว่าจะกลับมา แต่สุดท้ายกลับไม่มีโอกาสกลับมาอีกเลย
หลังจากออกเดินทางได้ 5 สัปดาห์ ไกลออกไปทางเหนือ 6,438 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนชายแดนสหรัฐ พบศพเลนิลดากลางทะเลทรายใกล้กับเมืองเดมิง รัฐนิวเม็กซิโก นอนขดตัวใกล้พุ่มไม้หนามแหลมอยู่ในท่านอนตะแคงขวา
สภาพศพคู้เข่าและเอามือทั้ง 2 ข้างปิดหน้า สวมรองเท้าบู้ทสีน้ำตาลอ่อนและชุดทหารลายพราง ส่วนหนังสือเดินทางประเทศบราซิลอยู่ในกระเป๋าคาดเอว
ร.อ.ไมเคิล บราวน์ กล่าวว่าคดีนี้เป็นคดีสะเทือนใจมากกว่าคดีอื่นผู้อพยพอื่นๆ ที่พบในทะเลทราย เพราะเป็นชาวบราซิลคนแรกที่เคยพบตั้งแต่ทำงานมา 26 ปี ขณะที่ผู้อพยส่วนใหญ่มาจากเม็กซิโกหรืออเมริกากลาง แต่บราซิลอยู่ไกลถึงอเมริกาใต้
ผู้อพยพที่มุ่งหน้าเข้าสหรัฐต่างต้องการชีวิตที่ดีกว่า จึงหันหลังให้บ้านเกิดที่เต็มไปด้วยโควิด-19 คนตกงานมากมายและเงินเฟ้อ สวนทางกับรายได้น้อยนิด
ญาติของเลนิลดากล่าวว่าก่อนเป็นผู้ช่วยพยาบาล เลนิลดาเคยทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดที่เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ 3 ปี ระหว่างปี 2,547-2550 และมีแผนหนีจากบราซิลเมื่อต้นปีที่แล้ว หลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสกับการต่อสู้โควิด-19 ในโรงพยาบาล แต่ได้เงินเดือนตอบแทนเพียง 1,100 เรอัล หรือประมาณ 6,670 บาท
ส่วนเจนิเฟอร์ โอลิเวอิรา โดส ซานโตส ลูกสาวกล่าวว่าแม่วางแผนจะกลับไปโอไฮโอเพราะมีเพื่อนและครอบครัวอยู่ที่นั่นและตั้งใจจะทำงานหาเงินส่งลูกๆ เรียน
เดือน เม.ย. เลนิลดาบินไปเม็กซิโก แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐ จับกุมได้ใกล้ๆ กับเมืองเม็กซิกาลี เธอหวังว่าทางการสหรัฐคงให้อยู่ในสหรัฐ ระหว่างรอดำเนินการเรื่องเอกสารขอลี้ภัยประมาณ 3 เดือน แต่กลับถูกจับส่งไปศูนย์กักกันของกองบังคับคดีเข้าเมืองและศุลกากร ก่อนส่งกลับมาบราซิลในเดือน ก.ค.
ต่อมา วันที่ 12 ส.ค. เลนิลดาออกจากเมืองบาเล โด ปาไรโซ เป็นครั้งที่ 2 โดยขึ้นเครื่องบินไปเม็กซิโกและจ้างคนลักลอบขนของเถื่อนในราคา 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 800,000 บาท เพื่อนำทางเดินผ่านทะเลทรายแอสเซนซิออง ในรัฐชิวาวา ของเม็กซิโกเพื่อไปเซฟเฮาส์ในเมืองเดมิงซึ่งอาจใช้เวลา 2 วัน 2 คืน เพราะระยะทางไกลประมาณ 50 กิโลเมตร
เจนิเฟอร์จำได้ดีว่าแม่ออกเดินทางพร้อมกับเพื่อนในวัยเด็ก 3 คนและนักลอบขนของเถื่อนในช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 6 ก.ย. และน่าจะถึงปลายทางวันพฤหัสบดี
อุปสรรคใหญ่ คือ สภาพภูมิประเทศเป็นทะเลทรายและภูมิอากาศเลวร้าย อุณหภูมิสูงมาก โดยเฉพาะเดือน ก.ค.- กลางเดือน ก.ย.เป็นฤดูมรสุม
บราวน์กล่าวว่าเลนิลดาคงหมดแรงล้มลงเพราะความอ่อนเพลียและขาดน้ำ ไม่มีน้ำอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณที่พบเธอเลย
ด้านครอบครัวของเลนิลดาคาดว่าเธอคงถูกคนในกลุ่มที่ไปด้วยทิ้งในช่วงบ่ายวันจันทร์ แต่ยังมีสติโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือให้ญาตินำน้ำมาให้หน่อย และยังส่งข้อความเสียงผ่านทางแอปพลิเคชัน WhatsApp ว่า “ฉันกำลังตายเพราะกระหายน้ำมาก”
พร้อมทั้งแชร์โลเคชันหรือพิกัดสถานที่อยู่ในทะเลทรายทำให้ญาติในบราซิลรู้ว่าเธออยู่ไหน แต่สัญญาณบอกตำแหน่งของเลนิลดาหยุดความเคลื่อนไหวเมื่อวันอังคาร เวลา 15.08 น.
ตำรวจต้องใช้เวลาค้นหาร่างของเลนิลดา 8 วัน และคิดเสียดายว่าหากเธอเดินต่อไปอีก 360 เมตร ก็จะขอความช่วยเหลือจากคนที่อาศัยในกองคาราวานได้
ครอบครัวและเพื่อนร่วมงานล้วนอาลัยเลนิลดา โรงพยาบาลที่เคยทำงานนำริบบิ้นดำมาติดหน้าทางเข้าเพื่อรำลึกถึงอดีตพนักงานที่ร่วมต่อสู้ฝ่าฟันในช่วงโควิด-19 ระบาด และการเสียชีวิตของหญิงแม่ลูก 2 ทำให้ชาวบราซิลเห็นถึงอันตรายจากการอพยพเพื่อตามหาฝัน แต่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
//////////////
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ผู้อพยพ : ชะตากรรมอันน่าเศร้าของเด็กชายวัย 2 ขวบที่แสวงหาชีวิตใหม่ในอเมริกา
ผู้อพยพ : สหรัฐฯ สั่งสอบสวนเหตุเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงต่อผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย