บิ๊ก 18 หน่วยงาน UN – เอเอฟพี รายงานวันที่ 6 พ.ย. ว่า บรรดาหัวหน้า ผู้อำนวยการ และเลขาธิการหน่วยงานสำคัญขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกแถลงการณ์ร่วมแสดงความไม่พอใจต่อจำนวนพลเรือนที่เสียชีวิตในเหตุโจมตีฉนวนกาซ่าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อมเรียกร้องให้มีการ “หยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมโดยทันที”
หลังความขัดแย้งนองเลือดระหว่างอิสราเอลและกองกำลังฮามาสยืดเยื้อมาตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. ภายหลังฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอล ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวมเกินกว่า 11,170 ราย เป็นเหยื่อในอิสราเอล 1,400 ราย และในกาซ่าอย่างน้อย 9,770 ราย
“เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้วที่โลกเฝ้าดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอิสราเอลและดินแดนปาเลสไตน์ด้วยความตกตะลึงและสยดสยองต่อจำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว” ผู้นำหน่วยงานในสหประชาชาติ 18 หน่วยงาน รวมถึงองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) โครงการอาหารโลก และองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุในแถลงการณ์ร่วม
นอกจากนี้ยังย้ำว่าประชากรทั้งหมดในพื้นที่กาซ่าถูกปิดล้อม โจมตี และถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอด บ้านเรือน ที่พักพิง โรงพยาบาล และสถานที่สักการะโดนทำลายจากการยิงถล่มอย่างหนัก นี่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้
แม้อิสราเอลจะโจมตีโดยมีเป้าหมายทำลายกองกำลังฮามาส “เราต้องการการหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมทันที ผ่านมา 30 วันแล้ว พอได้แล้ว เรื่องนี้ต้องหยุดเดี๋ยวนี้”
ทั้งยังเรียกร้องให้กองกำลังฮามาสปล่อยตัวประกันมากกว่า 240 คน และขอให้ทั้งสองฝ่ายเคารพพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ แถลงการณ์ยังระบุด้วยว่าในขณะที่สงครามยังดุเดือดนั้นจำเป็นต้องอนุญาตให้มีการขนส่งอาหาร น้ำ ยารักษาโรค และเชื้อเพลิงเข้าสู่พื้นที่ฉนวนกาซ่ามากขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ถูกปิดล้อม
Advertisement
วันเดียวกัน สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลอฮ์ที่ 2 แห่งจอร์แดน ระบุผ่านบัญชีเอ็กซ์ว่ากองทัพอากาศจอร์แดนส่งเวชภัณฑ์สำคัญทางอากาศไปยังโรงพยาบาลสนามในฉนวนกาซ่า
“เจ้าหน้าที่กองทัพอากาศผู้กล้าหาญของเราได้ส่งความช่วยเหลือทางการแพทย์เร่งด่วนไปยังโรงพยาบาลสนามของจอร์แดนในฉนวนกาซ่าเมื่อเวลาเที่ยงคืน นี่คือหน้าที่ของเราในการช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงที่ได้รับบาดเจ็บจากสงครามในฉนวนกาซ่า เราจะอยู่เคียงข้างชาวปาเลสไตน์ตลอดไป”
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในขณะที่ นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เยือนภูมิภาคตะวันออกกลางเพื่อหารือถึงประเด็นดังกล่าวกับรัฐมนตรีต่างประเทศจอร์แดน อียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และตุรกี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: