เจ้าหน้าที่เผาศพชาวบราซิล พบหญิงวัย 90 ปี ตัวอุ่น – มีลมหายใจ หลังรพ.ประกาศบอกญาติว่าเสียชีวิตแล้ว แต่สุดเศร้าหญิงชราเสียชีวิตอีกครั้งใน 1 วัน
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงาน เจ้าหน้าที่ฌาปนกิจในบราซิลต้องตกใจสุดชีวิตเมื่อเขาไปที่ห้องดับจิตของโรงพยาบาลเพื่อเก็บศพหญิงวัย 90 ปีแต่กลับพบว่าเธอยังมีชีวิตอยู่จึงรีบส่งเธอกลับไปที่แผนกโรงพยาบาล
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเมืองเซาโฮเซ มินาสเชไรส์ ประเทศบราซิล ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลประกาศว่านอร์มา ซิลเวรา ดา ซิลวาเสียชีวิตแล้ว ผู้หญิงคนดังกล่าวถูกนำเข้าไปในถุงเก็บศพพร้อมถูกส่งไปที่ห้องดับจิต ซึ่งสัปเหร่อผู้ไม่สงสัยได้ค้นพบสิ่งที่น่าขนลุก
เจสซิกา มาร์ตินส์ ซิลวี เปเรย์รา ผู้ดูแลและเพื่อนของนอร์มาบอกกับสำนักข่าวเอสตาเดาของบราซิลว่า หญิงวัย 90 ปีรายนี้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลประจำภูมิภาคเซาโฮเซเมื่อวันศุกร์ด้วยสภาพที่แย่มาก กล่าวกันว่าเธอมีปัญหาเกี่ยวกับตับและหมดสติไป ซึ่งเธอไปเยี่ยมในบ่ายวันเสาร์พบว่าผู้ป่วยสามารถลืมตาข้างหนึ่งแล้วมองเห็นเธอได้
ต่อมาในคืนนั้น ผู้ดูแลและลูกชายของดาซิลวาได้รับแจ้งว่า เธอเสียชีวิต ใบมรณะบัตรใบแรกของดาซิลวา ซึ่งออกโดยโรงพยาบาลเมื่อเวลา 23.40 น. โดยอ้างว่าผู้หญิงรายดังกล่าวเสียชีวิตด้วย “การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ”
ร่างของดาซิลวาถูกส่งไปที่ห้องดับจิตอย่างเร่งรีบโดยไม่ยอมให้คนที่เธอรักและครอบครัวมีโอกาสพบเธอก่อนเป็นครั้งสุดท้ายด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 01.30 น. ของวันที่ 26 เจ้าหน้าที่เดินทางไปที่ห้องดับจิตของโรงพยาบาลเพื่อรับศพและเตรียมส่งไปยังโรงเผาศพ โดยไม่คาดคิด พวกเขาพบว่าร่างกายของดา ซิลวายังคงอุ่น แม้ว่าเธอจะเสียชีวิตไปหลายชั่วโมงแล้ว ซึ่งน่าประหลาดใจ
เจ้าหน้าที่าจึงเปิดถุงทันทีและพบว่าหญิงชราหายใจหอบถี่มากเนื่องจากซิลเวียหมดสติจึงไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้ ซึ่งเธอถูกใส่ไว้ในถุงเก็บศพที่ปิดสนิทเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงและแทบหายใจไม่ออกจนเกือบเสียชีวิต เจ้าหน้าที่รีบแจ้งโรงพยาบาลและส่งหญิงชรากลับไปที่วอร์ดเพื่อช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม หลังจากการช่วยชีวิตหญิงชราแล้ว ช่างน่าเศร้าที่เธอเสียชีวิตในเช้าวันที่ 27 ใบมรณะบัตรใหม่ของเธอที่ออกก่อนเวลา 05.00 น. ระบุสาเหตุการเสียชีวิตของเธอว่าเป็น “ภาวะช็อกจากภาวะติดเชื้อ” อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของซิลเวียยังคงเชื่อว่าโรงพยาบาลละเลยหน้าที่ของตนอย่างจริงจัง พวกเขาจึงตัดสินใจยื่นฟ้อง กระทรวงสาธารณสุขของรัฐได้ดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว
ขอบคุณที่มาจาก Nypost
