เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 มี.ค. สมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติจีน หรือเอ็นพีซี ลงมติรับรองให้นายหลี่ เค่อเฉียง วัย 62 ปี ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยสอง ด้วยคะแนนเห็นชอบ 2,964 เสียง ไม่เห็นชอบ 2 เสียง หลังจากนายหลี่เริ่มทำงานร่วมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มาตั้งแต่ปี 2556 แต่มีวาระสิ้นสุด 5 ปี ต่างจากนายสีที่เพิ่งได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งโดยไม่มีวาระสิ้นสุด
นายหลี่ยังถูกมองว่าถูกลดบทบาทลงในการดำรงตำแหน่งวาระสองนี้ เนื่องจากนายหวัง ฉีชาน มือปราบคอร์รัปชันและนักต่อรองการค้าผู้สนิทสนมกับนายสี ขึ้นเป็นรองประธานาธิบดี อีกทั้งนายสียังแต่งตั้งนายหลิว เหอ ทำหน้าที่รับมือการต่อรองการค้ากับสหรัฐเมริกา
“เดิมนายหลี่ เค่อเฉียงดูงานนโยบายเศรษฐกิจตามตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นประเพณีมานาน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเหลือพื้นที่ไม่มากให้นายหลี่ ใช้อำนาจบารมีอะไรได้มากนัก ซึ่งการที่ถูกลดความสำคัญลงไปนี้ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร” นายโจนาธาน ซุลลิแวน ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายจีน มหาวิทยาลัยน็อตทิงแฮม กล่าว
ด้านนายแซม เครน ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์จีน ประจำสถาบันวิลเลียมส์ คอลเลจในสหรัฐ เห็นคล้ายกันว่า นายหลี่จำต้องยอมรับอำนาจส่วนตัวของนายสีแต่โดยดี ถึงจะมีอิทธิพลอยู่บ้างในด้านเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้อำนาจสูงสุดของนายสี
ทั้งนี้ เมื่อ 5 ปีก่อนที่นายหลี่เพิ่งรับตำแหน่งนายกฯ สัญญาว่าดำเนินนโยบายปฏิบัติต่อบริษัทต่างชาติอย่ายยุติธรรม เพื่อปฏิรูปโครงสร้างและตลาดเพื่อเอาใจภาคเอกชนมากขึ้น แต่ปรากฏว่าสหรัฐและยุโรปต่างติติงว่า บริษัทต่างชาติยังเผชิญอุปสรรคขวากหนามที่จะเข้าไปทำธุรกิจในตลาดจีนอย่างมาก ถูกบีบให้ต้องทำธุรกิจร่วมกับบริษัทจีนและแบ่งปันเทคโนโลยีให้ อันเป็นข้อตำหนิที่กระทบถึงภาพของนายสี ที่ต้องการเป็นผู้นำโลกาภิวัตน์
วันเดียวกัน ที่ประชุมเอ็นพีซี ยังมีประเด็นการปราบปรามคอร์รัปชั่น เมื่อสมาชิกพิจารณากฎหมายจัดตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพื่อลงมติรับรองในวันที่ 20 มี.ค. เพื่อขยายงานปราบปรามการทุจริตไปถึงผู้จัดการในรัฐวิสาหกิจจนไปถึงคนในฝ่ายปกครองที่โรงพยาบาลและโรงเรียนหลายล้านคน
หน่วยงานใหม่จะประสานงานกับคณะกรรมาธิการกลางชุดตรวจสอบระเบียบวินัยแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ หรือ ซีซีดีไอ หลังจากนายสีสั่งเดินหน้าปราบทุจริตจนมีเจ้าหน้าที่มากกว่า 1.5 ล้านคนถูกลงโทษในช่วง 5 ปีมานี้