นอกจากนี้ ยังนับเป็นการชุนนุมต่อต้านปืนครั้งใหญ่ที่สุดแห่งยุคในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่การเดินขบวนมิลเลี่ยน มัมส์ มาร์ช เพื่อเรียกร้องให้มีการควบคุมอาวุธปืนในวันแม่ของสหรัฐเมื่อปี 2543
ทั้งยังปลุกกระแสรวมพลังยับยั้งความรุนแรงจากปืนในเมืองใหญ่กว่า 800 แห่งทั่วโลก รวมถึงกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ นครซิดนีย์ในออสเตรเลีย กรุงโตเกียวของญี่ปุ่น และนครมุมไบ ประเทศอินเดีย ฯลฯ
“นักการเมืองทั้งหลาย ถ้าไม่เป็นผู้แทนประชาชนก็ออกไปซะ จะยืนอยู่ข้างๆ พวกเขา หรือจะต้องระวังตัวก็เลือกเอา ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกำลังจะมา” น.ส.คาเมรอน คาสกี วัย 17 ปี หนึ่งในแกนนำนักเรียนโรงเรียนมาร์จอรี สโตนแมน ดักลาส กล่าวกับผู้สนับสนุนมากกว่า 800,000 คนที่ร่วมชุมนุมใกล้อาคารรัฐสภา หรือยูเอสแคปพิตอล ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
ระบุว่าประชาชนเรียกร้องกฎหมายห้ามขายอาวุธร้ายแรง ประชาชนต้องการห้ามการครอบครองกระสุนปืนจำนวนมาก ประชาชนต้องการให้ตรวจสอบประวัติผู้ซื้อปืนที่มีความเป็นสากลและครอบคลุม
ด้านด.ญ.โยลันดา เรนี คิง วัย 9 ขวบ หลานสาวของนายมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ วีรบุรุษนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวกับผู้ชุมนุมเช่นกันว่า “ปู่ของหนูมีความฝันว่าลูกๆ ของท่านทั้ง 4 คนจะไม่ถูกตัดสินด้วยสีผิว แต่เป็นการกระทำของพวกเขา หนูเองก็มีความฝันว่าพอคือพอ และนี่ควรเป็นโลกที่ไร้ซึ่งอาวุธปืน”
ขณะที่ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ว่าขอชื่นชมความกล้าหาญของหนุ่มสาวชาวอเมริกันจำนวนมากที่ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกในวันนี้ และย้ำว่าการปกป้องลูกหลานชาวอเมริกันให้ปลอดภัยนั้นเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในนโยบายของท่านประธานาธิบดี