เมื่อวันที่ 13 พ.ย. เอเอฟพีรายงานสถานการณ์ความขัดแย้งทางศาสนาในพื้นที่รัฐยะไข่ ทางภาคตะวันตกของประเทศพม่าทวีความรุนแรง ภายหลังภาพถ่ายจากดาวเทียมจากองค์กรสิทธิมนุษยชน ฮิวแมน ไรต์ วอตช์ เผยให้เห็นขอบเขตความเสียหายว่า มีหมู่บ้านของชาวมุสลิมโรฮิงยาถูกเผาทำลายกว่า 430 หลัง
ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารของกองทัพพม่าอยู่ระหว่างการติดตามตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุโจมตีดังกล่าว เบื้องต้นระบุว่า เป็นกลุ่มมุสลิมชาวโรฮิงยาสุดโต่งและมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มหัวรุนแรงในต่างแดนด้วย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย และมีผู้ถูกจับกุมจำนวนมาก
กองทัพพม่า ระบุว่า การโจมตีเกิดขึ้นตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา โดยกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายลอบโจมตีเจ้าหน้าที่ทหาร ทำให้เกิดการปะทะ มีผู้ก่อเหตุถูกสังหาร 6 ราย และทหารฝ่ายกองทัพพม่าเสียชีวิต 2 นาย
ทางกองทัพพม่าต้องสั่งให้เฮลิคอปเตอร์จู่โจมขึ้นบินสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดินในภารกิจยิงตอบโต้ นำไปสู่การออกติดตามกวาดล้างกลุ่มที่ก่อเหตุ
กระทั่งภาพดาวเทียมเผยความเสียหาย (ดูภาพละเอียดได้ที่เว็บไซต์ฮิวแมนไรต์วอตช์) ที่เกิดจากปฏิบัติการของกองทัพพม่า พร้อมกับที่กองทัพพม่าประกาศให้เป็นเขตหวงห้าม หน่วยงานอิสระจึงไม่สามารถยืนยันว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของฝ่ายใด ส่วนที่ผ่านมา กองทัพพม่าและรัฐบาลพม่าเคยปฏิเสธข้อกล่าวหาในทำนองนี้ และกล่าวหาว่า เป็นฝีมือของกลุ่มสุดโต่ง
แบร็ด อดัมส์ ผู้อำนวยการเอชอาร์ดับเบิ้ลยูภาคพื้นเอเชีย กล่าวว่า มีบ้านเรือนถูกเผาทำลายกว่า 400 แห่ง ในพื้นที่ที่มีการต่อสู้เกิดขึ้น โดยภาพดาวเทียมถ่ายไว้ล่าสุดเมื่อ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา เผยให้เห็นความเสียหายที่มากกว่าที่ประเมินไว้ พร้อมเรียกร้องให้ทางการพม่าตั้งคณะกรรมการตรวจสอบร่วมกันกับสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เพื่อให้ความยุติธรรมและความปลอดภัยกับผู้ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นค่ายพักพิงของชาวมุสลิมโรฮิงยากว่า 100,000 คน หลังกองทัพพม่าและรัฐบาลที่แล้วซึ่งนำโดยอดีตประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ผู้นำกองทัพพม่า มีนโยบายนำชาวมุสลิมโรฮิงยาไปไว้ในพื้นที่นี้อ้างว่าเพื่อความปลอดภัยหลังเกิดความรุนแรงระหว่างชาวพุทธตั้งแต่ปี 2555 มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 ราย
แต่ความรุนแรงในพื้นที่ยังมีขึ้นต่อเนื่อง โดยชาวพุทธที่ขัดแย้งมองว่า ชาวโรฮิงยา เป็นผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ หรือเบงกาลี จึงต่อต้านการรับรองชาวโรฮิงยาเป็นพลเมืองพม่า
