จากกรณีเมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 24 พ.ค. พ.ต.อ.เด่นหล้า รัตนกิจ ผกก.ปพ.บก.ป. นำกำลังคอมมานโด บุกจับกุมา “พระพุทธอิสระ” หรือ “พระสุวิทย์” ที่วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ตามหมายจับคดีปล้นทรัพย์ ในช่วงการชุมนุมของ กปปส. ก่อนจะควบคุมตัวมาสอบปากคำที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)
- เปิดนาทีคอมมานโดบุกรวบ ‘พุทธะอิสระ’ คากุฏิวัดอ้อน้อย กองปราบฯสอบเครียด!
- ด่วน! กองปราบคุม ‘พุทธะอิสระ’ ฝากขังศาล-ค้านประกัน คอมมานโดตามประกบ
ต่อมาเมื่อเวลา 18.00 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราว “พระพุทธอิสระ” หรือพระสุวิทย์ ทองประเสริฐ อายุ 59 ปี เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม และอดีตแกนนำ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ ผู้ต้องหาคดีอั้งยี่ซ่องโจรที่การ์ด กปปส. ร่วมทำร้ายร่างกายตำรวจสันติบาล 2 นายบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัส และคดีปลอมพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ลงองค์พระเครื่องนาคปรกอุดปรอท
โดยหลังจากพนักงานสอบสวนบก.ป. ยื่นคำร้องฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 2 สำนวนแล้ว ทนายความได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 150,000 บาท ในคดีอั้งยี่ซ่องโจร และ 850,000 บาทในคดีปลอมพระปรมาภิไธยฯ
ขณะที่ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ความหนัก-เบาของข้อหา ในส่วนคดีอั้งยี่ซ่องโจร มีอัตราโทษจำคุกสูงและหลายข้อหา อีกทั้งมีผู้ร่วมกระทำผิดอีกหลายราย และผู้ต้องหาก็ยังเป็นบุคคลเดียวกับผู้ต้องหาในคดีปลอมพระปรมาภิไธยฯ (พ.1107/2561) ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว หากปล่อยชั่วคราวเกรงว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ในชั้นนี้จึงยังไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา ให้ยกคำร้อง
ส่วนคดี พ.1107/2561 ปลอมพระปรมาภิไธยฯ ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ความหนัก-เบาของข้อหาแล้วเห็นว่า การกระทำของผู้ต้องเป็นความผิดร้ายแรงและเกี่ยวพันกับคดีอั้งยี่ซ่องโจร (พ.1106/2561) หากปล่อยชั่วคราวก็เกรงว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ในชั้นนี้จึงยังไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา ให้ยกคำร้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ได้มีการนิมนต์พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ 3 รูปจากสำนักพุทธศาสนา และเจ้าหน้าที่อีก 3 คนจากสำนักพระพุทธศาสนา มาทำการสึกจากความเป็นพระ โดยถอดผ้าเหลืองแล้วให้สวมใส่ชุดขาว โดยทำพิธีสึกภายในห้องควบคุมผู้ต้องขังของราชทัณฑ์ บริเวณใต้ถุนศาลที่มีสภาพมิดชิด บุคคลภายนอกไม่สามารถมองเห็นได้ เป็นส่วนเฉพาะของเจ้าหน้าที่เท่านั้น
จากนั้นเมื่อสึกจากความเป็นพระแล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำรถกระบะของเรือนจำมาจอดรอที่ทางออกห้องคุมขังดังกล่าว ก่อนคุมตัวอดีต “พระพุทธะอิสระ” ขึ้นรถกระบะของเรือนจำทันที เพื่อนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯซึ่งระหว่างถูกนำตัวขึ้นรถเรือนจำ มีประชาชนที่ศรัทธาถึงกับร้องไห้ พร้อมกับร้องโวยวายคร่ำครวญว่า ทำไมคนดีที่ต่อสู้เพื่อชาติและศาสนาต้องโดนอย่างนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า แม้ศาลยังไม่ให้ประกันตัว แต่หลังจากนี้ “อดีตพระพุทธะอิสระ” ยังสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายยื่นคำร้องขอประกันตัวใหม่ต่อศาลอาญา หรือยื่นอุทธรณ์การประกันตัวต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป ซึ่งการยื่นสามารถดำเนินการได้ตลอดในช่วงระยะฝากขังในคดีดังกล่าว