เมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 25 พ.ย. ร.อ.ม.จ.นวพรรษ์ ยุคล ทรงเป็นประธานบำเพ็ญพระกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินเป็นวันที่ 43 ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย หน้าพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงกราบหน้าพระบรมโกศพระบรมศพ หลังจากนั้นทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ที่หน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร จากนั้นถวายภัตตาหารเช้าแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดบวรนิเวศวิหาร และวัดราชสิทธารามราชวรวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่ค่ำวันที่ 24 พ.ย.

201611251106584-20091118122043

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นวันที่ 28 ที่พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศสวมชุดไว้ทุกข์สุภาพเรียบร้อย เดินทางมาต่อคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ โดยในเวลา 05.00 น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี จากนั้นได้เปลี่ยนทางเข้าเป็นทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน ในเวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี

201611251106585-20091118122043

ทั้งนี้ พสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพทุกคน สำนักพระราชวังจะแจกภาพพระบรมโกศพระบรมศพ พิมพ์ 4 สี ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

201611251106586-20091118122043

วันเดียวกันนี้ สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา หลังสำนักพระราชวังปิดไม่ไห้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 22.11 น. จากกำหนดเวลาเดิม 21.00 น. เนื่องจากยังมีประชาชนรอคิวเข้าพระบรมมหาราชวังที่บริเวณมณฑลพิธีสนามหลวงเป็นจำนวนมาก มีจำนวนทั้งสิ้น 40,252 คน รวม 27 วัน มี 870,312 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 3,970,888.25 บาท รวม 27 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 65,037,150.75 บาท

นางมณีรัตน์ โอคุยาม่า อายุ 34 ปี เดินทางมาพร้อมกับน้องสาว น.ส.ดวงหทัย ภูมิภาค อายุ 27 ปี กล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้าด้วยความอาลัย ว่า ตนแต่งงานกับชาวญี่ปุ่นและเดินทางไปอยู่กับสามีที่ประเทศญี่ปุ่น และเนื่องจากอยากมากราบสักการะพระบรมศพสักครั้ง จึงได้เดินทางกลับประเทศไทยและเดินทางมากราบพระบรมศพ ตามที่ตั้งใจไว้

นางมณีรัตน์ กล่าวด้วยว่า รักพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาก เพราะพระองค์ท่านรักประชาชน ที่ผ่านมาเห็นท่านทางทีวี เห็นภาพพระองค์ท่านมาตั้งแต่เด็กไม่เคยได้มีโอกาสรับเสด็จฯไม่เคยได้ใกล้ชิดเลย แต่ก็ผูกพันในฐานะคนไทยธรรมดาคนหนึ่ง พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมาย พระราชดำรัชในโอกาสต่างๆ ของพระองค์สามารถนำมาใช้ได้ ท่านทรงเป็นแบบอย่างในทุกๆเรื่อง สำหรับตนนั้นได้ยึดหลักความพอเพียง อดทน และความกตัญญู ก็อยากให้คนไทยทุกคนดำเนินตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 และรักสามัคคีกัน อะไรที่ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ให้ช่วยกันคิดช่วยกันทำ

น.ส.สุจินดา ชัยทอง และนางทัศวรรณ เชื่อเมือง อาจารย์โรงเรียนสวัสรัตนาภิมุข จ.ตรัง เดินทางมาพร้อมเพื่อนครูร่วม 40 คน โดยออกเดินทางจากจังหวัดตรังตั้งแต่ 04.00 น.ของวันที่ 24 พ.ย. และมาพักแรมค้างคืนที่กรุงเทพฯ ก่อนมาเข้าแถวรอประมาณ 03.00 น. เผยว่า เมื่อมาถึงบริเวณสนามหลวงมีคนมาเข้าแถวรอกันเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะตั้งใจอย่างยิ่งที่จะได้มีโอกาสเข้ากราบสักการะพระบรมศพสักครั้งในชีวิต ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงงาน เพื่อประชาชนมาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ท่าน

น.ส.สุจินดา กล่าวว่า ตนประกอบอาชีพครู เป็นข้าราชการเป็นข้าของแผ่นดิน สามารถตอบแทนพระองค์ด้วยการตั้งจิตที่จะทำหน้าที่ของความเป็นครูให้ดีที่สุด มีจรรยาบรรณ เวลาใส่ชุดข้าราชการนับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และไม่กล้าที่จะกระทำนอกลู่นอกทางหรือใช้เวลาราชการในการทำธุระส่วนตัว เพราะเราตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทุ่มเทเรื่องการเรียนการสอนเพื่อนักเรียนก่อนประโยชน์ของตน

นายจตุพงษ์และนางปารัตน์ญา ศิริรัตน์ พสกนิการจาก อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เดินทางจากบ้านพร้อมด้วยลูกสาววัย 5 ขวบ ตั้งแต่เที่ยงคืน กล่าวว่า มาถึงก็ต่อแถวทันทีช่วงก่อน 03.00 น. และได้เข้ากราบตอน 07.30 น. ถือว่าเป็นช่วงเวลารอไม่นานมาก แม้มีลูกน้อยมาด้วยก็ไม่งอแงเลย อีกทั้งเราได้เตรียมตัวมาอย่างดี จากการฟังข่าวทั้งเรื่องของการแต่งกายและการปฏิบัติตัวตามกฎระเบียบ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เพราะตั้งใจอยากมากราบพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย โดยพาลูกสาวมาด้วย ซึ่งแม้เขาจะไม่ทันเห็นช่วงที่พระองค์ทรงงานหนัก แต่เราก็ถ่ายทอดเรื่องราวของพระองค์ผ่านการบอกเล่า และดูแอนนิเมชั่นเรื่องพระมหาชนก พร้อมสอนเขาเรื่องความเพียรและความอดทนควบคู่ไปด้วย รวมถึงสอนให้เด็กรุ่นใหม่รู้รักสามัคคี รู้จักหน้าที่ของตัวเอง ประหยัดอดออม และมีธรรมะในใจสวดมนต์ก่อนนอนด้วย

ส่วนที่กองอำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวัง (กอร.รส) โดย พล.ต.พงษ์สวัสดิ พรรณจิต รองแม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะรองผู้อำนวยการ กอร.รส. กล่าวว่า ขณะนี้การอำนวยความสะดวกประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เรามีความพร้อมที่จะรองรับได้เต็มที่ ทั้งในด้านอาหาร และบริการด้านสุขา ล่าสุดทาง กทม. ได้เพิ่มรถสุขาสำหรับผู้หญิงให้มากขึ้น เพราะจากสถิติพบว่ามีผู้หญิงเดินทางมามากกว่าผู้ชาย แต่ข้อจำกัดยังคงมีเหมือนเดิม คือการที่ประชาชนพร้อมใจกันมาในช่วงเช้า ทำให้เรา ดูแลได้ไม่ทั่วถึง จากสถิติแล้วในช่วงเช้าจนถึงเที่ยง จะมีประชาชนเข้าไปสักการะพระบรมศพได้ประมาณ 12,000 คน หากประชาชนเดินทางมามากกว่าจำนวนดังกล่าวในช่วงเช้า ส่วนที่เกินจากนี้ จะต้องรอไปถึงช่วงบ่าย แต่ในบางวันคนที่มาช่วงบ่ายจะใช้เวลารอน้อยกว่าคนที่มาช่วงเช้า

นอกจากนี้ ได้ทำบัตรลาคิว เพื่อให้ประชาชนในแถวได้ไปทำธุระส่วนตัวระหว่างรอแถว โดยในบัตรมีการระบุหมายเลข ซึ่งใช้เฉพาะเจาะจงแต่ละเต็นท์ เพื่อป้องกันการแซงคิว อย่างไรก็ดีขอฝากประชาชนให้ทำความรู้จักคนรอบข้างตัวเองไว้ เพื่อความง่ายต่อการกลับเข้าไปในแถว ด้วยเหตุเชื่อจะไม่มีการแซงคิว หรือถ้าหากมีก็เป็นเพราะความสับสนเข้าเต็นท์ผิดมากกว่า

ในส่วนกิจกรรมถวายความอาลัยนั้น จากการที่พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้ตั้งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการขออนุญาตจัดกิจกรรม เพื่อแสดงความอาลัยต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีผู้แทนจากกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานอนุกรรมการ โดยกิจกรรมที่พิจารณา หากมาจัดที่สนามหลวงจะต้องไม่เป็นการขัดขวางเข้าไปสักการะของประชาชน แต่ในวันที่ 26 พ.ย. มีกิจกรรม 9 เพื่อ 9 สืบสานปณิธานพอเพียง เป็นกลุ่มคนที่เดินเท้าจากโรงเรียนสตรีวิทยามาเก็บขยะรอบสนามหลวง เราอนุญาตให้ดำเนินการได้ แต่กลุ่มคนเหล่านี้ต้องผ่านจุดคัดกรองเหมือนประชาชนเช่นกัน

ด้านพล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การจัดกิจกรรมทำความสะอาดบริเวณท้องสนามหลวงและพื้นที่โดยรอบ จะเริ่มตั้งแต่เวลา 21.00 น. ของวันที่ 30 พ.ย. เป็นต้นไป เริ่มจากรอบพระบรมมหาราชวัง และรอบสนามหลวง ไปจนถึงถนนราชดำเนินกลาง ในวันที่ 1 ธ.ค. จะขยายพื้นที่การทำความสะอาดไปที่แยกคอกวัว ไปจนถึงลานพระบรมรูปทรงม้า ถนนราชดำเนินนอก และวันที่ 2 ธ.ค. จะตรวจสอบทุกพื้นที่อีกครั้งหนึ่ง โดยจะทำความสะอาดตั้งแต่การล้างท่อและบนทางเท้าทั้งหมด รวมถึงตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของซุ้มถวายความอาลัยตามจุดต่างๆ ตรวจสอบระบบไฟฟ้า ระบบประปา กล้องวงจรปิด เพื่อพร้อมเปิดต้อนรับประชาชนที่มาถวายสักการะวันที่ 3 ธ.ค.

ทั้งนี้ ทราบว่ามีหน่วยงานภาคประชาชนแสดงความสนใจจะมาร่วมกิจกรรมในวันดังกล่าวจำนวนมาก ขอให้แจ้งความประสงค์มาที่ หมายเลข 1555 เพื่อจะได้จัดวางพื้นที่ให้เหมาะสมว่าจะอยู่บริเวณจุดใด ซึ่งจะมีผู้อำนวยการเขตแต่ละเขตเป็นผู้รับผิดชอบ ทาง กอร.รส. ยินดีต้อนรับประชาชนที่จะมาทำดีเพื่อพ่อ จะนำอุปกรณ์มาเอง หรือจะมาเอาจากที่ กทม.เตรียมไว้ให้ก็ได้ แต่สาเหตุที่จะต้องให้มีการแจ้งยอดของผู้มาเป็นจิตอาสา เพราะว่าจะเตรียมอาหารไว้รองรับ

ส่วนที่สงสัยว่าในวันที่มีการทำความสะอาดตามเต็นท์จิตอาสาจะมีการแจกอาหารหรือไม่ จึงขอชี้แจงว่าเราต้องมีการฉีดยาฆ่าแมลง หนู โดยรอบพื้นที่ท้องสนามหลวง จึงอาจไม่เหมาะสมหากมีการประกอบอาหาร โดยระหว่างทำความสะอาด จะไม่มีการปิดการจราจร เพราะจะเน้นทำความสะอาดบนทางเท้า จะไม่มีผลกระทบต่อการจราจรแน่นอน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน