จากกรณีกองปราบฯบุกจับพระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีร่วมกันฟอกเงินทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษา โรงเรียนพระปริยัติธรรม ตั้งแต่ปี 2557 รวมกว่า 150 ล้านบาท ก่อนถูกจับสึกส่งขังคุกและเร่งตามล่า พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ที่อยู่ระหว่างหลบหนี ก่อนที่ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศถอดถอนสมณศักดิ์ 7 พระเถระ ล่าสุดจับพระราชอุปเสณาภรณ์ (สังคม ญาณวฑฺฒโน) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เพิ่มอีก 1 ในคดีฟอกเงินงบประมาณอุดหนุนวัด กองปราบฯนำตัวส่งศาลฝากขังพร้อมค้านประกัน สุดท้ายศาลเห็นชอบต้องถูกจับสึกนุ่งขาวเข้าเรือนจำตามอดีตพระที่ถูกดำเนินการก่อนหน้านี้เป็นรูปที่ 8 ตามที่เสนอข่าวไปนั้น อ่านข่าว วืดประกัน! จับสึกอดีต ‘พระราชอุปเสณาภรณ์’ วัดภูเขาทอง เข้าคุกคดีฟอกเงิน 10 ล้าน

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีเงินทอนวัด โดยมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พร้อมทีมสืบสวนชุดใหญ่จากหน่วยงานต่างๆ ทั้งจาก บช.ก. บช.ภ.1.บช.สตม. บก.สส.บช.น.และกองปราบปราม ร่วมกันเดินทางไปที่จังหวัดนครพนม หลังตรวจสอบพบเบาะแสของ พระพรหมเมธี (จำนงค์ เอี่ยมอินทรา) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ผู้ต้องหาตามหมายจับ สนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ไปปรากฎตัวอยู่ที่จังหวัดนครพนม ก่อนที่จะหายตัวไป เบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีลูกศิษย์ใกล้ชิดให้ความช่วยเหลือเพื่อหลบหนีข้ามฝั่งไปยังสปป.ลาว

ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า หลังจากเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา ตำรวจกองปราบปราม เปิดปฏิบัติการจับกุมพระผู้เถระผู้ใหญ่ วัดสระเกศฯและวัดสามพระยานั้น เป็นวันที่พระพรหมเมธีเดินทางไปรับกิจนิมนต์อยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก เมื่อทราบข่าวว่าตำรวจเปิดปฏิบัติการจับพระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปในคดีเงินทอนวัด จึงทำให้พระพรหมเมธีที่จะต้องเดินทางกลับวัด จึงเปลี่ยนเป้าหมาย และเดินทางหลบหนีไปที่จังหวัดนครพนมทันที

โดยมีการใช้รถตู้สีดำ ซึ่งทราบว่าเป็นของโยมอุปัฏฐายิการายหนึ่งให้การสนับสนุน ส่งมาพร้อมกับคนขับ เพื่อพาพระพรหมเมธีเดินทางไปที่วัดป่าสุคนธลักษณ์ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม และหลบอาศัยอยู่ที่วัดดังกล่าว เพื่อรอเวลาให้ลูกศิษย์คนสนิทติดต่อไปยังลูกศิษย์ของพระพรหมเมธีที่อยู่ในเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว และจอดรถตู้ทิ้งไว้ในวัด ซึ่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบเก็บดีเอ็นเอ และลายนิ้วมือแฝง ภายในรถอย่างละเอียด พร้อมออกติดตามอย่างเร่งด่วน โดยคาดว่าน่าจะเดินทางข้ามแม่น้ำโขงไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทางช่องทางธรรมชาติไปแล้ว ตามรายงานแจ้งว่ามีสีกาชื่อ จ. ลูกศิษย์คนสนิทชาวไทยพาข้ามพรมแดนไป

ทั้งนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า ส่วนตัวแล้วพระพรหมเมธีพอจะรู้ตัวอยู่แล้วว่า จะต้องถูกจับกุมในคดีเงินทอนวัด ถึงกับเคยพูดผ่านกลุ่มลูกศิษย์ว่า “ตนไม่มีความกังวลแต่อย่างไร ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริง ก็พอจะมีช่องทางหลบหนีอยู่แล้ว เพราะมีกลุ่มญาติโยมที่นับถือเป็นจำนวนมากอยู่ในฝั่งสปป.ลาว ซึ่งพร้อมที่จะพาไปหลบหนีไปทันที หากว่าจะถูกจับกุม”

แหล่งข่าวบอกว่าพระพรหมเมธี หนีขึ้นเรือหาปลาที่ชุมชนบ้านท่าควาย เขตเทศบาลเมืองนครพนม ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 3 กิโลเมตร

รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า หลังจากพระพรหมเมธีข้ามชายแดนสำเร็จ ก็ได้ไปพักที่โรงแรมดงชัย ในเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว หลังจากนั้นในตอนเช้าของวันที่ 31 พ.ค. ก็ออกเดินทางต่อไปยังเมืองสองห้อง ซึ่งห่างจากเมืองท่าแขกไปทางเหนือประมาณ 50 กม. ซึ่งที่นั่นมีคนมาคอยรับตัวพระพรหมเมธีเดินทางต่อโดยยังไม่ทราบจุดหมายปลายทางว่าไปที่ใด ทางเจ้าหน้าที่ได้ตามประกบตัวสีกา จ. อย่างใกล้ชิด และสามารถควบคุมตัวได้ที่ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) จังหวัดนครพนม ขณะกำลังเดินทางกลับเข้ามาจากฝั่ง สปป.ลาว พร้อมนำตัวมาสอบสวนหาเบาะแสของพระพรหมเมธีว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนต่อไป

ต่อมาเมื่อเวลา 11.00 น. วันเดียวกัน ที่กองปราบปราม ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์ ตัวแทนกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน เข้าพบ ร.ต.อ.ศุภชัย ชาติมนตรี รอง สว.(สอบสวน )กก.1 บก.ป. เพื่อแจ้งความเอาผิด พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอนุมัติเงินงบประมาณให้กับวัดในกรณีทุจริตเงินทอนวัด ในความผิดฐานแจ้งความโดยมิชอบและมีเจตนาทุจริตประสงค์ให้เกิดความเสียหายแก่คณะสงฆ์อันเป็นความผิดสำเร็จแล้ว

ดร.จรูญ กล่าวว่า เบื้องหลังการจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหาพระชั้นผู้ใหญ่หลายวัด ตามที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ที่เต็มไปด้วยความไม่ชอบมาพากล และทำให้เกิดข้อสงสัยน่าจะมีผู้ไม่หวังดีสร้างกับดักลวงไว้ เพื่อโยนความผิดให้พระสงฆ์เหล่านี้ ด้วยการเอางบประมาณที่ผิดประเภทไปถวายพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ เสร็จแล้ว พ.ต.ท.พงศ์พร และพวกก็เข้าแจ้งความกับตำรวจตามหน่วยงานต่างๆเพื่อให้เอาผิดกับพระสงฆ์เหล่านี้ว่าเป็นการใช้งบผิดประเภท จนทำให้ถูกจับกุมในที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่สะเทือนใจอย่างยิ่ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน