เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 21 ธ.ค. ในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินเป็นวันที่ 69 นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากนั้นถวายภัตตาหารเช้าแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และประยุรวงศาวาสวรวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่ค่ำวันที่ 20 ธ.ค. โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมการท่องเที่ยว กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ
จากนั้นเวลา 10.30 น. นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร และวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้แก่ สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกรมกิจการผู้สูงอายุ ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. หลังสำนักพระราชวังปิดการขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 00.30 น. จากกำหนดเดิมเวลา 21.00 น. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอเข้าสักการะพระบรมศพเป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 53,884 คน รวม 51 วัน มี 2,027,579 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 4,482,399.50 บาท รวม 51 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 160,006,490.25 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศเหนือ เยื้องกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน โดยแบ่งเป็นมื้อเช้าเวลา 07.00 น. ประกอบด้วย ก๋วยเตี๋ยวหลอด 1,500 ถ้วย ข้าวผัดทรงเครื่อง 1,500 จาน กาแฟสด 2,500 แก้ว นมหนองโพ 2,000 กล่อง
Advertisement
มื้อกลางวันเวลา 11.00 น. ประกอบด้วย ข้าวน้ำพริกอ่อง-ผักสด-ไข่ยางมะตูม 1,000 จาน ข้าวอบสับปะรด 1,000 จาน ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น 1,000 ถ้วย บะหมี่ไชยา 1,000 ถ้วย มื้อบ่ายเวลา 16.00 น. ประกอบด้วย ขนมไทย 1,000 กล่อง ซาลาเปาหมูสับ-หมูแดง 1,000 ลูก เฉาก๊วย 1,000 ถุง มื้อเย็นเวลา 18.00 น. ประกอบด้วย ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ 1,500 ถ้วย ข้าวต้ม-ต้มยำไก่-ผัดผักกาดดองใส่ไข่ 1,500 จาน โดยมีน้ำดื่มสมุรไพร 700 ลิตร และน้ำดื่มจิตรลดาให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน
ส่วนที่เต็นท์หน่วยแพทย์พระราชทานและอาหารพระราชทาน ซึ่งตั้งอยู่ภายในท้องสนามด้านทิศเหนือ ฝั่งศาลฎีกา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงห่วงใยในพสกนิกรที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งหน่วยแพทย์มาดูแลสุขภาพประชาชนเป็นประจำทุกวันต่อเนื่องจนครบ 100 วัน โดยวันนี้มีหน่วยแพทย์ พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล เภสัชกร และบุคลากร จากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลขอนแก่น และโรงพยาบาลทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี รวม 23 คน มาคอยตรวจรักษาและให้บริการทางการแพทย์ นอกจากนี้ ยังพระราชทานอาหารให้เจ้าหน้าที่นำมาแจกประชาชน ได้แก่ ข้าวไก่กระเทียม 500 ชุด และน้ำดื่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เป็นวันที่ 51 ที่มีพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะ พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยสำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนกลุ่มแรกเข้าสักการะพระบรมศพทางประตูวิเศษไชยศรีในเวลา 04.45 น. ซึ่งมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาเฝ้ารอต่อคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ภายหลังเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึก
นางวิภา เงินสุข อายุ 61 ปี ชาว จ.นครสวรรค์ อดีตข้าราชการสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวว่า ตนเหมารถตู้มากับเพื่อน รวม 14 คน โดยออกจากนครสวรรค์เวลา 23.00 น. วันที่ 20 ธ.ค. และมาเข้าคิวสักการะพระบรมศพที่สนามหลวงประมาณ 02.00 น. ก่อนได้เข้าสักการะพระบรมศพเวลา 10.30 น. แม้จะรอนานก็ไม่มีความรู้สึกเหนื่อยหรือท้อเลย เพราะตั้งใจจะมากราบสักการะพระองค์ให้ได้สักครั้งในชีวิต พอได้เข้าไปก็รู้สึกปลาบปลื้มจนน้ำตาไหล เมื่อเห็นประชาชนมากันเยอะก็ซาบซึ้งที่ทุกคนรักพระองค์ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะมากราบสักการะพระองค์อีก
นางวิภา กล่าวต่อว่า ตอนที่ทราบข่าวว่าพระองค์สวรรคต ครอบครัวตนก็เสียใจมาก ลูกชายที่ทำงานอยู่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ก็มีโอกาสได้บวชในโครงการที่ กฟภ. จัดขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล จำนวน 9 วัน ซึ่งลูกตนก็รักพระองค์มาก ตั้งแต่เด็กเขาเห็นพระองค์ทรงงานหนักก็มักจะถามว่าทำในหลวง รัชกาลที่ 9 ต้องทรงงานหนักขนาดนี้ ตนก็บอกลูกว่าพระองค์ทรงทำเพื่อประชาชน ตนจึงสอนให้ลูกทำความดีเพื่อตอบแทนพระองค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ดิฉันรักพระองค์มากและเทิดทูนไว้เหนือหัว เพราะพระองค์มีพระคุณสูงสุดในชีวิต ดิฉันไม่เคยเห็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลก ที่จะทรงงานเพื่อประชาชนได้มากมายขนาดนี้ พระองค์ทรงมีพระอัจฉริยภาพในทุกด้าน ดิฉันรู้สึกมีบุญที่ได้เกิดอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร และเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เฝ้าฯ รับเสด็จพระองค์เลย ดิฉันก็อธิษฐานขอให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย และขอพระบารมีจงช่วยปกป้องคุ้มครองประชาชนชาวไทยให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข” นางวิภา กล่าวด้วยความซาบซึ้ง
นางทิพวรรณ รักพรม อายุ 42 ปี อาชีพผู้จัดการโรงแรมดับเบิ้ลยู กล่าวว่า ตนเดินทางมาสักการะพระบรมศพ พร้อมสามีกับลูกชาย โดยรอประมาณ 7 ชั่วโมง จึงเข้าสักการะพระบรมศพ แม้จะง่วง เพลีย และหิว แต่เป็นความเหนื่อยแค่ภายนอก เพราะในใจมีความปลาบปลื้มปีติมากกว่า ถึงจะมีโอกาสได้อยู่บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเพียงแค่ 2 นาที และแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะเสด็จสวรรคตไปแล้วก็ตาม
“ครอบครัวของดิฉันยังยึดมั่นในคำสอนของพระองค์ ทั้งเรื่องการดำเนินชีวิต การดูแลครอบครัว โดยเฉพาะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในครอบครัว ถึงจะพอมีบ้าง แต่ก็ไม่ใช้เงินเกินตัว หรือใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็นโดยในแต่ละวันการใช้เงินจะต้องมีการทำบัญชีให้ชัดเจน นอกจากนี้ ยังน้อมนำคติธรรมที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงสอนเกี่ยวกับเรื่องการสอนตัวเองว่า ถ้าเราสอนตัวเองได้ดีแล้วจึงจะสามารถสอนคนอื่นได้ ถ้าสอนตัวเองไม่ได้ก็อย่าไปสอนคนอื่น มาใช้สอนลูกชายอีกด้วย” นางทิพวรรณ กล่าว
นางทิพวรรณ กล่าวต่อว่า เมื่อตอนอายุ 12 ปี ตนมีโอกาสได้เฝ้าฯ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระราชโอรสและพระราชธิดา อย่างใกล้ชิด ขณะเสด็จพระราชดำเนินไปที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช แต่ตอนนั้นยังเป็นเด็กก็ไม่รู้เรื่องอะไร พอเติบโตขึ้นแล้วหวนนึกถึงช่วงเวลานั้นทีไร ก็มีความสุขทุกครั้ง จึงตั้งใจว่าหากมีโอกาสจะต้องมาถวายสักการะพระบรมศพอีกแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลาว่าการพระราชวัง ภายในพระบรมมหาราชวัง สำนักพระราชวังเปิดห้องแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ โดยแบ่งเป็นนิทรรศการหมุนเวียน ประกอบด้วย ตู้นอน 6 ตู้ และตู้ยืน 4 ตู้ บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่สมุดไทยดำหรือสมุดข่อย ซึ่งเป็นสมุดที่เขียนเรื่องราวบันทึกเหตุการณ์สำคัญตั้งแต่รัชกาลที่ 1-6, ปฏิทินหลวงที่พระราชทานให้ประชาชนที่มาลงนามถวายพระพรในวันขึ้นปีใหม่ โดยมีทั้งหมด 7 สีตามสีประจำวันในปีนั้นๆ ซึ่งเล่มที่นำมาจัดแสดงที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด คือปฏิทินหลวงปี พ.ศ.2492, ตู้จัดแสดงพระราชพิธีสำคัญ 12 เดือน
โดยในขณะนี้ได้จัดแสดงพระราชพิธีสำคัญของในหลวงรัชกาลที่ 9 เช่น พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส และพระราชพิธีบรมราชาภิเษก, การจัดแสดงเอกสารพระราชหัตถเลขาและพระปรมาภิไธยในรัชกาลที่ 5-7, การจัดแสดงพระราชกรณียกิจของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จนเป็นที่มาของการถวายพระราชสมัญญานามว่า “กษัตริย์นักพัฒนา” ทั้งยังเป็นที่มาของการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมีจัดแสดงอยู่ในตู้ถัดมา
นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการถาวร ประกอบด้วย ตู้หนังสือราชกิจจานุเบกษา, ภาพยนตร์ส่วนพระองค์ในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยจัดแสดงนาน 30 นาที, นิทรรศการพระราชประวัติตั้งแต่ประสูติจนถึงทรงผนวช, นิทรรศการพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติในวโรกาสต่างๆ อาทิ 25 ปี, 50 ปี และ 60 ปี, ตู้จัดแสดงของที่ระลึกซึ่งพระราชอาคันตุกะจากประเทศต่างๆ ทูลเกล้าฯ ถวาย, แผนผังแสดงลำดับราชสกุลวงศ์จักรี
รวมถึงการจัดแสดงข้อมูลและภาพหมู่มหามณเฑียร และหมู่มหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง โดยห้องจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ เปิดให้นักท่องเที่ยวและประชาชนเข้าชมฟรีเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น.