ทอท.แจ้งข้อหาเพิ่ม 2 สาวติ่งเกาหลี ปลอมตัวกรี๊ดดารา รอตร.เรียกสอบ 2 จนท.ช่วยสาวเข้าพื้นที่หวงห้ามก่อนแจ้งข้อกล่าวหาอีกครั้ง จ่อรื้อระบบรปภ.ใหม่ ยันระบบความปลอดภัยไม่ได้หละหลวมแต่เรื่องนี้เกิดจากตัวบุคคล

จากกรณีโลกโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หญิงสาว 2 คนที่โพสต์ข้อความในลักษณะบ่งบอกว่าได้ปลอมตัวเข้าพื้นที่หวงห้ามภายในสนามบินสุวรรณภูมิ โดยอ้างว่ามีการใช้เส้นสายจากเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรเพื่อให้สามารถเข้าไปในพื้นที่ด้านในของสนามบินได้ เพื่อให้ได้ใกล้ชิดศิลปินเกาหลี “อีจงซอก” ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมานั้น อ่านข่าว สุวรรณภูมิ-แจ้งจับ ติ่งเกาหลี โพสต์อวด! ปลอมตัวบุกกรี๊ดดาราถึงที่หวงห้าม

ตรวจสอบระบบรักษาความปลอดภัย

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่ห้องโถงผู้โดยสารขาเข้าชั้น 2 ประตู 10 อาคารผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (สายปฏิบัติการ 1) เปิดเผยถึงมาตรการการรักษาความปลอดภัย และการเข้าถึงเขตพื้นที่เขตหวงห้ามท่าอากาศยานว่า ความคืบหน้าล่าสุด เรียกให้เจ้าหน้าที่รัฐที่มีความผิดเข้าพบแล้วทั้ง 2 ราย ในช่วงบ่ายวันนี้ ส่วนหญิงสาวอีก 2 ราย ทราบว่าเรียกเข้าพบในวันนี้เช่นเดียวกัน แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดในส่วนของเวลา ต้องประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้ง อ่านข่าว กรมศุลกากร สอบเจ้าหน้าที่ เอี่ยวติ่งดาราเกาหลี ชี้ผิดวินัยร้ายแรงสุด ให้ออกราชการ!

โดยทางทอท.ได้แจ้งความดำเนินคดีหญิง 2 ทั้งสองคน ฐานบุกรุกพื้นที่ควบคุมในยามวิกาล ซึ่งเป็นคดีอาญา มีโทษสูง จำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ยังมีความผิดฐาน ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (พ.ร.บ.) พ.ศ.2497 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อ่านข่าว ศุลกากรสั่งฟันแล้ว 3 จนท.ช่วยติ่งเกาหลี กรี๊ดดาราในเขตหวงห้าม

ส่วนเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร 2 ราย ที่พบว่าเป็นผู้สนับสนุนพาคนนอกเข้าพื้นที่ 1 ราย และให้ยืมบัตรของเจ้าหน้าที่มาใช้อีก 1 รายนั้น ต้องให้ทางเจ้าพนักงานสอบสวนให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาอีกครั้ง

นายกิตติพงศ์ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าระบบรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานไม่ได้หละหลวมแต่อย่างใด ค่อนข้างเข้มงวดและรัดกุมมากพอแล้ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดจากตัวบุคคล ทั้งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และคนนอกที่พยายามหาช่องทางเข้ามายังพื้นที่ควบคุม ซึ่งต้องยอมรับว่าในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความเรียบร้อยไม่ได้ทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้อย่างเข้มงวด ทำให้คนนอกสามารถผ่านเข้าไปได้

เบื้องต้นทางทอท.ย้ายเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในจุดตรวจสอบสิทธิวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ให้ไปประจำยังจุดอื่นแล้ว

จ่อรื้อระบบรักษาความปลอดภัยใหม่

หลังจากนี้จะปรับปรุงระบบความปลอดภัยให้มากขึ้นอีก โดยจุดตรวจสอบสิทธิ จะเปลี่ยนใช้บัตรที่มีถาพถ่ายของเจ้าของบัตร เมื่อเข้าสู่จุดตรวจสอบสิทธิ จะเพิ่มการสแกนลายนิ้วมือ และมีภาพถ่ายของผู้ขอเข้าพื้นที่ควบคุมขึ้นยังจุดแสดงผล เพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่และเป็นเจ้าของบัตรตัวจริง โดยกำหนดงบประมาณในการเพิ่มมาตรฐานระบบรักษาความปลอดภัยประมาณ 20 ล้านบาท คาดว่าในปีหน้าจะเห็นระบบรักษาความปลอดภัยระบบใหม่อย่างแน่นอน

“ที่ผ่านมามีการออกบัตรเจ้าหน้าที่โดยส่วนราชการ ให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน เป็นบัตรส่วนกลาง ไม่มีรูปภาพยืนยันตัวตนของผู้ถือบัตร และเมื่อนำบัตรออกมาใช้หรือนำออกข้างนอก ทำให้ยากต่อการควบคุมดูแล และทำให้เกิดความเสี่ยงในการรักษาความปลอดภัย ซึ่งเคยมีเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นแล้ว ทำให้ต้องทำบัตรรูปแบบใหม่ขึ้น เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบได้สะดวกมากกว่าเดิม โดยหากจะเข้าสู่พื้นที่ควบคุมได้ต้องผ่านการตรวจสอบหลายจุด ดังนี้ จุดที่ 1 เป็นจุดตรวจสอบสิทธิ ต้องมีบัตรเจ้าหน้าที่ใช้ในการยืนยันตัวตนเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปด้านในได้ หากบัตรที่ใช้งานออกโดยราชการและผู้ถือบัตรเป็นตัวจริงแน่นอน จะมีไฟสีเขียวแสดงถึงการผ่านการตรวจสอบแล้ว” นายกิตติพงศ์ กล่าว

นายกิตติพงศ์ กล่าวต่อว่า จุดที่ 2 เป็นจุดรอรับกระเป๋าสัมภาระสายพานที่ 17 จุดที่ 3 เป็นจุดเข้าสู่พื้นที่ควบคุม ต้องผ่านการตรวจสอบข้อมูลจากเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรก่อน จึงจะสามารถเข้าด้านในได้ จุดนี้เป็นจุดที่หญิงสาว 2 คนไม่สามารถผ่านเข้าไปได้แน่นอน เนื่องจากพฤติการณ์ของหญิงสาวใช้บัตรที่ไม่ใช่ของตนเอง ทำให้ไม่ผ่านการตรวจสอบ จึงรอรับศิลปินเกาหลีอยู่ที่จุด 2 คือ บริเวณจุดรอรับกระเป๋าสัมภาระสายพานที่ 17

หลังจากนี้อยากขอร้องทางเจ้าหน้าที่พนักงานและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยการให้ความร่วมมือในการตรวจสอบสิทธิและยืนยันตัวตน เพื่อการรักษาความปลอดภัยภายในพื้นที่ ทำให้อาจไม่ได้รับความสะดวกมากเท่าที่ควร

แต่เพื่อความปลอดภัยของทุกคนก็อยากให้ร่วมมือด้วยความเต็มใจ เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีกครั้ง เพราะส่งผลกระทบต่อหลายหน่วยงานที่ทำงานร่วมกันค่อนข้างมาก และประชาชนทุกคนไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวดรัดกุมมากอยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดจากตัวบุคคล ไม่ได้ผิดพลาดจากระบบงาน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน