เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 74 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญพระกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายเป็นพระราชกุศล เป็นวันที่ 20

สำหรับในวันนี้ มีกระทรวงคมนาคม โดยบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด, สถาบันการบินพลเรือน, สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย, และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย สำนักงานรัฐมนตรี, สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ, กรมควบคุมมลพิษ, สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, องค์การจัดการน้ำเสีย ร่วมเป็นเจ้าภาพพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ

เวลา 07.00 น พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ประธานคณะกรรมการบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช จากนั้นถวายภัตตาหารเช้าแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร และวัดบวรนิเวศวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมพระบรมศพ มาตั้งแต่ค่ำวานนี้ โดยมีบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด, สถาบันการบินพลเรือน, และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศลพระบรมศพ

จากนั้นเวลา 10.30 น. พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม จำนวน 8 รูป จากวัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร และวัดระฆังโฆสิตารามวรมหารวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมีคณะในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย สำนักงานรัฐมนตรี, สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นวันที่ 57 ที่พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศสวมชุดไว้ทุกข์สุภาพเรียบร้อยเดินทางมาต่อคิว เพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ โดยในเวลา 04.45 น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี จากนั้นได้เปลี่ยนทางเข้าเป็นทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน ในเวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี

ทั้งนี้ พสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพทุกคน ยังคงอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อปวงชนชาวไทยมาตลอดระยะเวลา 70 ปี และเมื่อประชาชนได้เข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พิมพ์ 4 สี ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

น.ส.เก็จวดี กลขุนทศ อายุ 20 ปี ชนเผ่าเยอ

วันเดียวกันนี้ สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 21.10 น. ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 48,373 คน รวม 56 วัน มี 2,293,130 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 4,498,383.25 บาท รวม 56 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 183,402,062.25 บาท

นางสุภาพร โยธี อายุ 42 ปี พร้อมครอบครัว

นางสุภาพร โยธี อายุ 42 ปี พร้อมสามี นายชันชา บุญโย อายุ 47 ปี อาชีพทำนา และลูกสาว ด.ญ.สุพิชญา โยธี 9 ปี ชนเผ่าเยอ อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ได้รวมตัวชนเผ่าเยอกว่า 50 คน ด้วยใจที่อยากจะกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีต่อพวกเราชนเผ่าเยอ ดังหลักฐานทางภาพถ่ายและวิดีโอ ที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินทอดกฐิน ที่วัดปราสาทเยอ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2514 สร้างความร่มเย็นให้กับพวกเราชาวเผ่าเยอจนถึงทุกวันนี้ สำหรับวันนี้เป็นความตื้นตันที่ได้รับข้าวเปลือกพระราชทาน โดยจะนำไปบูชาและอีกส่วนนำไปเป็นหว่านในนาของตนเองเพื่อความเป็นสิริมงคล

น.ส.วิภาวดี โสสุทธิ์ อายุ 36 ปี นางวาริน พรหมรังษี อายุ 35 ปี และ น.ส.พรทิพย์ ฤกษ์ศรี อายุ 32 ปี

น.ส.เก็จวดี กลขุนทศ อายุ 20 ปี ชนเผ่าเยอ กำลังศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะนิติศาตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิเผยว่า ตนชื่นชมในหลวงร.9 ในเรื่องของความซื่อสัตย์ เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงแข่งเรือใบ โดยพระองค์ทรงออกเรือก่อน เพราะทรงเข้าพระราชหฤทัยสัญญาณผิด และเมื่อรู้ว่าผิดจึงทรงกลับมาเริ่มต้นใหม่ ทำให้ตนประทับใจและยึดถึงเรื่องความซื่อสัตย์ไว้ในใช้ในชีวิตประจำวัน

ด.ช.ณัฐวุฒิ เหมือนวดี อายุ 12 ปี และเพื่อนๆ

น.ส.วิภาวดี โสสุทธิ์ อายุ 36 ปี พร้อมด้วยนางวาริน พรหมรังษี อายุ 35 ปี และ น.ส.พรทิพย์ ฤกษ์ศรี อายุ 32 ปี ประกอบอาชีพเสริมสวย โดยได้พร้อมใจกันหยุดงาน 1 วันเพื่อมากราบสักการะพระบรมศพ เปิดเผยหลักเข้ากราบพร้อมกันว่า รู้สึกปลาบปลื้มและตื่นเต้นมาก เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าพระบรมมหาราชวัง พอก้าวเข้าประตูพระบรมมหาราชวัง ได้ยินเสียงปี่พาทย์ เสียงกลองดัง ก็รู้สึกจุกและน้ำตาไหล คิดถึงพระองค์ ตื้นตันใจที่ได้มาในวันนี้ และดีใจที่เห็นคนไทยมากราบพระองค์ท่านเยอะมาก

น.ส.วิภาวดี กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาก็ได้น้อมนำคำสอนของพระองค์มาใช้ โดยเฉพาะหลักเศรษฐกิจพอเพียง ที่บ้านต่างจังหวัดของตนก็ปลูกผักเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ไว้กินเอง ประทับใจพระองค์ท่านในเรื่องความประหยัด ในการใช้ยาสีฟัน ที่พระองค์ท่านทำเป็นแบบอย่าง ซึ่งพวกเราก็ได้นำมาปรับใช้ และภูมิใจที่ในหลวง ร.9 ได้ทรงสร้างสิ่งต่างๆ ไว้หลายอย่าง และมีโครงการในพระราชดำริหลายอย่างขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือคนไทยได้ใช้ดำเนินชีวิตที่สุขสบาย

“บอกไม่ถูกว่ารักในหลวง ร.9 แบบไหน รู้แต่ว่ารักพระองค์มาก รักแบบพ่อที่ประเสริฐที่สุดที่คอยดูแลลูกๆ ก็ขอให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย และอยากให้คนไทยรักกันและรู้หน้าที่ของตนเองเหมือนกับที่พระองค์ท่านยังอยู่” น.ส.วิภาวดี กล่าว

ด้าน ด.ช.ณัฐวุฒิ เหมือนวดี อายุ 12 ปี นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดโพธิ์ทอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 จ.นครศรีธรรมราช กล่าวระหว่างนั่งรอเพื่อเข้ากราบพระบรมศพ ว่า ตนเดินทางมาพร้อมกับคุณครู 7 คน และเพื่อนๆนักเรียนรวม 20 คน เดินทางมาตั้งแต่ตี 5 ของวันที่ 25 ธ.ค. และมาถึงท้องสนามหลวง ตี 2 เพื่อเข้าคิวรอเข้ากราบพระบรมศพ โดยระหว่างที่รอตนกับเพื่อน เขียนเรียงความด้วย

“รู้สึกดีใจมากที่เดินทางมาวังของในหลวง ร.9 และได้เขียนเรียงความ เรื่อง การทำความดี เช่น การมีจิตอาสา การแบ่งปัน การมีความขยันอดทน และมีความพยายาม ทำอะไรต้องมีความอดทน ตนจะนำคำสอนของพระองค์มาปรับใช้ เช่น ความพอเพียง สิ่งไหนไม่ควรซื้อก็ไม่ต้องซื้อ ตนอยากให้มีในหลวงแบบนี้ตลอดไป ไม่อยากเสียในหลวงไป ส่วนโตขึ้นมาอยากเป็นทหาร จะได้ปกป้องประเทศชาติ” ด.ช.ณัฐวุฒิ กล่าวด้วยความตื้นตันใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศเหนือ เยื้องกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน

โดยแบ่งเป็นมื้อเช้าเวลา 07.00 น. ประกอบด้วย เกี้ยมอี๋ 2,500 ถ้วย, กาแฟสด 2,500 บาท, นมหนองโพ 2,000 กล่อง มื้อกลางวันเวลา 11.00 น. ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ 1,000 จาน, ข้าวผัดเขียวหวานไก่ทอด 1,000 จาน, ผัดมะเขือยาวเต้าเจี้ยวหมูสับ 1,000 จาน, ผัดผักรวมลูกชิ้นกุ้งราดข้าว 1,000 จาน มื้อบ่าย 16.00 น. ประกอบด้วย ขนมไทย 1,000 กล่อง, ขนมปังไส้กรอก 1,000 ชุด, เฉาก๊วยชากังราว 1,000 ถุง และ มื้อเย็นเวลา 18.00 น. มีเมนูอาหาร ได้แก่ ข้าวเหนียวไก่ทอด 4,000 ชุด และยังมีน้ำดื่มสมุนไพร 700 ลิตร และน้ำดื่มจิตรลดาให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน