เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 75 ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายเป็นพระราชกุศล เป็นวันที่ 21

โดยในวันนี้มี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, กรมทรัพยากรธรณี, องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กรมทรัพยากรน้ำ, กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก, กรมทรัพยากรน้ำบาดาล, องค์การสวนสัตว์, องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้, กรมป่าไม้, กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เป็นเจ้าภาพร่วมในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

เวลา 07.08 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรม พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมศพ ทรงกราบหน้าพระบรมโกศพระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่หน้าพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร จากนั้นทรงประเคนภัตตาหารเช้าแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่ค่ำวันที่ 26 ธ.ค. ในการนี้ มีกรมทรัพยาการทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทรณี และองค์การสวนพฤกษศาสตร์ เป็นเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศลพระบรมศพ

จากนั้นเวลา 10.30 น. กรมทรัพยากรน้ำ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมี นายวรศาสน์ อภัยพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เป็นประธานถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม จำนวน 8 รูป จากวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และวัดราชสิทธารามราชวรวิหาร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นวันที่ 58 ที่พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศสวมชุดไว้ทุกข์สุภาพเรียบร้อยเดินทางมาต่อคิว เพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ โดยในเวลา 04.45 น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี จากนั้นได้เปลี่ยนทางเข้าเป็นทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน ในเวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี

ทั้งนี้ พสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพทุกคนยังคงอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ และเมื่อได้เข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พิมพ์ 4 สี ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 23.56 น. จากกำหนดเดิมเวลา 21.00 น. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอเข้ากราบพระบรมศพในมณฑลพิธีสนามหลวงเป็นจำนวนมาก ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 55,908 คน รวม 57 วัน มี 2,349,038 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 3,556,125 บาท รวม 57 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 186,958,187.25 บาท

นางอำนวย สายสุด อายุ 53 ปี และครอบครัว

นางอำนวย สายสุด อายุ 53 ปี พสกนิกรจาก อ.วังเจ้า จ.ตาก เดินทางมาพร้อมกับลูกสาว 2 คน และหลานสาว 3 คน เปิดเผยหลังเข้ากราบสักการะพระบรมศพว่า ปลาบปลื้มใจอย่างมากที่ได้มีโอกาสเข้ากราบพระองค์ท่านใกล้ๆ ตนมีอาชีพทำไร่มานาน ปลูกผัก ผลไม้ รวมถึงปลูกข้าว โดยแต่ก่อนปลูกข้าวขาวไม่ค่อยมีราคา แต่เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ประทานพันธุ์ข้าวไรซ์เบอร์รี่ และได้ทดลองปลูก ช่วยสร้างรายได้มากขึ้น ส่วนตนเองสุขภาพดีขึ้นด้วยจากการกินข้าวไร์เบอร์รี่ รู้สึกได้ว่าโรคเหน็บชาหายไป

นายกฤษณะ ทรงบุญรอด อายุ 54 ปี

นางอำนวย กล่าวด้วยว่า สำหรับการทำการเกษตรตนได้น้อมน้ำเรื่องการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ในกรอบแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ร.9 โดยตนได้แบ่งพื้นที่ ทั้งปลูกข้าว พืชผสมผสาน และเลี้ยงปลาด้วย โดยข้าวเปลือกพระราชทานที่ได้รับจะนำไปแบ่งเก็บในยุ้งฉาง บนหิ้งพระ และหว่านในนาข้าวเพื่อความเป็นสิริมงคล

นางนฤมณ สิทธุวารินทร์ อายุ 70 ปี และครอบครัว

นายศุภวัฒน์ ศักดิ์แสนศิลป์ อายุ 38 ปี เดินทางมาพร้อมด้วยนางนภัสภรณ์ ศักดิ์แสนศิลป์ ภรรยา และลูกๆ ด.ช.วชิรวิทย์-ด.ช.ณัฐพนธ์ ศักดิ์แสนศิลป์ จากบ้านเกิดใน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี ตอนตี 1 ถึงกรุงเทพฯ เวลาตี 3 กล่าวความรู้สึกหลังจากได้กราบสักการะพระบรมศพว่า ปลาบปลื้มใจมาก ส่วนตัวมาเป็นครั้งที่ 3 แล้ววันนี้จึงอยากพาลูกและภรรยามาเพื่อให้ซึมซับคุณงามความดีของในหลวง ร.9 ทุกคนจึงตั้งใจมาด้วยรักและศรัทธา

นางธัญรัตน์ เฮลส์ อายุ 37 ปี และนายจอนห์น เฮลส์ อายุ 49 ปี

นายศุภวัฒน์ กล่าวด้วยว่า คนเฒ่าคนแก่แถวบ้านเล่าให้ฟังว่าประมาณ 30 ปีก่อนในหลวง ร.9 กับพระราชินี เสด็จฯ มาประกอบพระราชกรณียกิจที่วัดแสนสุขราชวราราม แล้วทรงเข้าไปหลบแดดที่ศาลาหลังหนึ่งภายในวัด พระและชาวบ้านจึงช่วยกันดูแลศาลาหลังนี้เป็นอย่างดี แม้จะเก่ามากก็ไม่ให้รื้อ เก็บไว้เพื่อเป็นสิริมงคลกับหมู่บ้าน สำหรับผมในหลวง ร.9 ทรงเป็นที่หนึ่งในใจเสมอ เกิดมาก็ได้เห็นท่านทรงงานหลายๆ เรื่อง ทำให้คนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ท่านสอนให้ได้รู้จักการใช้ชีวิต เรียนรู้จากธรรมชาติตามปรัชญาของท่านที่ให้ไว้ ครอบครัวทำธุรกิจห้องพักให้เช่าแบบเกสต์เฮ้าส์มากว่า 10 ปีก็นำคำสอนของท่านเรื่องความเรียบง่ายมาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการ

นางธัญรัตน์ เฮลส์ อายุ 37 ปี นักรังสีเทคนิค จากโรงพยาบาลสมิติเวช จ.ชลบุรี เดินทางมาพร้อมสามี นายจอนห์น เฮลส์ อายุ 49 ปี ประกอบอาชีพราชการ ที่ ประเทศออสเตรเลีย กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้เข้ากราบพระบรมศพว่า เป็นความภาคภูมิใจมาก ซึ่งตนก็ได้นำคำสอนของพระองค์ท่านมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย คือ การทำหน้าที่ของตนเองได้ดีที่สุด รับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง ทำเพื่อส่วนร่วมให้มาก ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวคิดพอเพียง ที่ไม่จำเป็นต้องทำการเกษตรอย่างเดียว แค่นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งจะทำให้สังคมมีความสุขแล้ว

ส่วนนายจอห์น กล่าวว่า วันนี้ได้เข้ามาสักการะพระบรมศพ ก่อนอื่นต้องขอชมเจ้าหน้าที่ก่อนว่า มีการจัดระเบียบที่ดีมาก ทั้งการจัดแถวและการอำนวยความสะดวกระหว่างการรอคิว ซึ่งเป็นสิ่งที่พิเศษไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนเป็นมากมายเป็นพันเป็นหมื่นคนมารอคิว แล้วทุกคนก็อยู่ท่ามกลางความสงบ ไร้เสียงบ่นใดๆ แต่ตนก็เข้าใจได้ว่าเพราะทุกคนรักและศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวที่ได้ก้มกราบแลกกับกันรอคิวนานกว่า 8 ชม. ก็ยอม

นายจอห์น กล่าวต่อว่า ตนรู้จักในหลวงร.9 ได้ส่วนหนึ่งเพราะภรรยาของผมเล่าให้ฟัง และอีกส่วนผมก็ติดตามข่าวสารเองขณะที่ทำงานอยู่ออสเตรเลีย วินาทีแรกที่ผมทำได้รับฟังเรื่องราวของท่าน ผมก็สัมผัสได้ว่าท่านรักประชาชนของท่านมาก พระองค์ทรงงานหนักมาตลอดยาวนานทั้งชีวิต รวมถึงพระองค์ทรงเป็นตัวอย่างในให้กับข้าราชการไทยคือ การทำงานเพื่อประชาชน ซึ่งก็สามารถเป็นตัวอย่างการทำงานเพื่อส่วนร่วมให้กับตนด้วย เพราะตนก็ทำงานรับใช้ประชาชนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตนขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เพราะตนรักและเคารพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมากเช่นกัน และอยากให้คนไทยผ่านพ้นความสูญเสียไปได้ด้วยดี

นางนฤมณ สิทธุวารินทร์ อายุ 70 ปี ชาว ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี กล่าวว่า เดินทางมาพร้อมสามี ลูกๆและหลานอีก 2 คน เพื่อมากราบถวายบังคมพระบรมศพในหลวง ร.9 ซึ่งลูกสาวได้จองตั๋วเครื่องบินให้ช่วงกลางเดือนเมษายน แต่ตนอยากมาถวายความอาลัยก่อนจึงเดินทางมากันในวันนี้ เพราะรักในหลวง ร.9 มาก รักเหมือนรักพ่อแม่เรา เสียใจที่เสียพระองค์ท่านไป ท่านเหมือนเทวดาลงมาช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าประชาชนยากลำบากอยู่ตรงไหน พระองค์ก็เสด็จฯไปช่วยเหลือ ทุกวันนี้อยู่ได้เพราะได้กำลังใจจากพระองค์ ที่ผ่านมาลำบากมากต้องเลี้ยงลูก 5 คน ได้น้อมนำคำสอนในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์มาปรับใช้โดยการขยันหมั่นเพียร ประหยัดอดทน ดิ้นรนด้วยการทำไร่นาสวนผสม ปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงเป็ด-ไก่ไว้กินเองและขายเพื่อหาเงินเลี้ยงลูกจนสำเร็จการศึกษาได้

นายกฤษณะ ทรงบุญรอด อายุ 54 ปี เกษตรกรจาก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เดินทางมาสักการะพระบรมศพตั้งแต่ช่วงเช้า เปิดเผยว่า ตนเป็นเกษตรกรไม่ค่อยได้มีโอกาสมาได้ง่ายๆ ครั้งนี้ได้มีการรวมตัวชาวบ้านและเกษตรกันมา จึงเป็นความปลาบปลื้มของตน เพราะในหลวง ร.9 ทรงเป็นที่สุดของสุดๆ เรื่อง เราในฐานะเกษตรกรทำได้เพียงเศษเสี้ยงของท่านก็เพียงพอ

นายกฤษณะ กล่าวด้วยว่า ตนเป็นเกษตรกรมานาน กระทั่งได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่โครงการหลวง เมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา ทำให้เรียนรู้วิธีปลูกพืชให้ได้ผลผลิตที่ดีขึ้น สร้างรายได้ให้กับครอบครัว ทั้งนี้ตนได้ระลึกถึงพระองค์ท่านอยู่เสมอ โดยได้นำเรื่องความอดทนอดกลั้นมาดำเนินใช้ในชีวิตของตนเอง เพราะในชีวิตไม่ได้เรียบง่ายเสมอไป

ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศเหนือ เยื้องกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน

โดยแบ่งเป็นมื้อเช้าเวลา 07.00 น. ประกอบด้วย ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ 1,500 ถ้วย, กาแฟสด 2,500 แก้ว, นมหนองโพ 2,000 กล่อง มื้อกลางวันเวลา 11.00 หมี่กะทิโบราณ 1,000 จาน ผัดขี้เมาไก่ราดข้าว 1,000 จาน ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ 1,000 จาน แกงป่าหมูนุ่ม 1,000 จาน ก๋วยเตี๋ยวเรือ 2,000 ถ้วย มื้อบ่าย 16.00 น. ประกอบด้วย ขนมไทย 1,000 กล่อง ข้าวเหนียวหมูทอด-ไก่ทอด 1,000 ห่อ เฉาก๋วยชากังราว 1,000 ถุง และ มื้อเย็นเวลา 18.00 น. มีเมนูอาหาร ได้แก่เย็นตาโฟ 4,000 ชุด ข้าวราดแกงส้มปลาสลิด 2,000 จาน และยังมีน้ำดื่มสมุนไพร 700 ลิตร และน้ำดื่มจิตรลดาให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน

ขณะที่เต็นท์หน่วยแพทย์พระราชทาน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณท้องสนาม ฝั่งทิศเหนือ บริเวณทางเข้าที่ประชาชนจะเดินเข้ามารอภายในเต็นท์ก่อนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พร้อมด้วย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงห่วงใยในพสกนิกรที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีรับสั่งให้มีหน่วยแพทย์พระราชทาน มาดูแลสุขภาพประชาชนเป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องจนครบ 100 วัน โดยวันนี้มีหน่วยแพทย์ พยาบาล และเภสัชกร จากโรงพยาบาลวิชัยยุทธ และโรงพยาบาลตรัง รวม 16 คน มาให้บริการดูแลประชาชนตลอดทั้งวัน

ขณะเดียวกัน กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) จัดโครงการ “คนไทยต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน” ร่วมมอบแว่นสายตาให้แด่ผู้สูงอายุ” ที่เต็นท์หน่วยแพทย์พระราชทาน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จำนวน 50,000 อัน ระหว่างวันที่ 27-30 ธ.ค.นี้ นางบุศราคำ วิรบุตร์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ และพยาบาลเวชปฏิบัติทางตา โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ เผยว่า ทางโรงพยาบาลได้ร่วมกับกรมการแพทย์ และหน่วยแพทย์พระราชทาน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ตรวจสายตาและมอบแว่นตาให้แก่ผู้สูงอายุที่มาร่วมสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีจักษุแพทย์ 2 คน พยาบาล 3 คน นักทัศนมาตุ (ผู้เชี่ยวชาญด้านแว่นตา) และเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมให้บริการระหว่างเวลา 09.00-17.00 น.

นางบุศราคำ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ให้แสดงบัตรประชาชนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ซักประวัติเบื้องต้น และประเมินค่าสายตา หากประเมินแล้วมีปัญหาสายตาที่แก้ไขได้ด้วยแว่นตาก็สามารถรับแว่นสายตาได้ทันที แต่หากกรณีมีการประเมินแล้วพบว่ามีความผิดปกติทางสายตาอื่นๆ รวมถึงมีโรคประจำตัว ไม่เคยตรวจสภาพจอประสาทตา ก็จะส่งให้พบจักษุแพทย์ต่อไป ขณะเดียวกันด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวอาจทำให้ประชาชนที่มากราบสักการะพระบรมศพเกิดอาการตาแห้ง ดังนั้นไม่เพียงแต่ผู้สูงอายุ แต่หากผู้ที่มีปัญหาทางสายตาก็สามารถเข้ามาตรวจและปรึกษา รับคำแนะนำจากจักษุแพทย์ได้ตลอดเวลาการบริการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้แจ้งปรับเปลี่ยนเวลาการเข้าชมห้องนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ที่ศาลาว่าการพระราชวัง ในพระบรมมหาราชวัง ที่จัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน และนิทรรศการถาวร ของพระมหากษัตริย์ของราชวงศ์จักรี ว่าจะเปิดทำการทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.30 น.- 15.30 น. ปิดทำการทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน