เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินเป็นวันที่ 92 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายเป็นพระราชกุศล เป็นวันที่ 38

โดยในวันนี้มีหน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการ ข้าราชการ พนักงาน จากจังหวัดฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี สมุทรปราการ สระแก้ว จันทบุรี ชลบุรี ตราด ระยอง สังกัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นเจ้าภาพพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเป็นวันแรกที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานราชานุญาตให้ภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายเป็นเจ้าภาพร่วม

เวลา 07.00 น. นายอนุกูล ตังคณานุกูลชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง จากนั้นถวายภัตตาหารแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดสุทัศนเทพวราวรามราชวรมหาวิหาร และวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมตั้งแต่ค่ำวันที่ 12 ม.ค. ในการนี้มีผู้ว่าราชการจังหวัด ข้าราชการ และพนักงาน จาก จ.ฉะเชิงเทรา จ.นครนายก จ.ปราจีนบุรี จ.สมุทรปราการ จ.สระแก้ว จ.จันทบุรี จ.ชลบุรี จ.ตราด และจ.ระยอง ร่วมเป็นเจ้าภาพ

จากนั้นเวลา 10.30 น. คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี รองประธานกรรมการบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง จากนั้นถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมพระบรมศพ โดยมีคณะผู้บริหารและพนักงานมูลนิธิสิริวัฒนภักดี บริษัท ทีซีซี โฮลดิ้ง (2519) จำกัด บริษัท เครืออาคเนย์ จำกัด บริษัท ที.ซี.ซี.แลนด์ จำกัด บริษัท ไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท เบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท บิ๊กซี่ ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (มหาชน) เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ ลิมิเต็ด (สิงคโปร์) (Fraser and Neave Limited Singapore) เฟรอเซอร์ เซ็นเตอร์พ้อยท์ ลิมิเต็ด (สิงคโปร์) (Fraser Center point Limited Singapore) ร่วมเป็นเจ้าภาพ

สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 12 ม.ค. หลังสำนักพระราชวังปิดไม่ให้ประชาชนขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 23.55 น. จากกำหนดเดิมเวลา 21.00 น. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอคิวกราบพระบรมศพเป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 45,433 คน รวม 73 วัน มี 3,169,554 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 4,391,681.59 บาท รวม 73 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 260,074,246.84 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เป็นวันที่ 74 ที่มีพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 05.00-21.00 น. ซึ่งสำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนกลุ่มแรกเข้าพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรีในเวลา 04.45 น.

จากนั้นเวลา 08.00 น. เปลี่ยนให้เข้าทางประตูมณีนพรัตน์ เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดารามทางประตูวิเศษไชยศรี โดยประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาเฝ้ารอต่อคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพจำนวนมาก ภายหลังเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึก

นางบุบผา ผาสระดู่ อายุ 59 ปี และนางลำจวญ มีสัตย์ อายุ 62 ปี เกษตรกรจาก อ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ รวมตัวกับเพื่อนบ้าน 26 คน เช่ารถตู้มาจากหมู่บ้านตั้งแต่ 20.00 น. ของค่ำคืนที่ผ่านมา มาถึงสนามหลวงตี 1 และรอต่อแถวที่สนามหลวงทันที ก่อนจะได้เข้ากราบประมาณ 09.00 น.

นางบุบผา ผาสระดู่ อายุ 59 ปี และนางลำจวญ มีสัตย์ อายุ 62 ปี

นางบุบผา เผยด้วยความตื้นตันใจว่า ตนเพิ่งผ่าตัดกระดูกทับเส้นประสาทมาเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว แต่อยากจะมามาก จึงตั้งใจมาต่อคิว แม้จะมีอาการปวดหลังบ้างเป็นระยะ และพักเมื่อไม่ไหว แต่ไม่เหนื่อย ยิ่งได้ขึ้นกราบพระบรมศพหน้าพระบรมโกศ เป็นความปลาบปลื้มใจอย่างมาก ถ้าไม่ได้มาครั้งนี้คงไม่มีโอกาสอีก นอกจากนี้ หลังกราบสักการะพระบรมศพยังได้รับอาหารพระราชทานด้วย ทำให้ตนรู้สึกตื้นตันใจมาก นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้

นางขันแก้ว ฟองสมุทร อายุ 64 ปี และชาวบ้านแม่แตง

ด้านนางลำจวญ กล่าวว่า ปลื้มใจมากที่ได้มากราบสักการะพระบรมศพ เมื่อเห็นพระบรมโกศก็มีความรู้สึกเหมือนเห็นสวรรค์ ส่วนตัวประทับใจในหลวง รัชกาลที่ 9 ในทุกๆ เรื่อง พระองค์ทรงช่วยเหลือให้พสกนิกรอยู่ดีกินดี ส่วนตัวน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต โดยปลูกข้าว ทำนา ปลูกผัก และใช้จ่ายเท่าที่มี

คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี

ส่วนนางขันแก้ว ฟองสมุทร อายุ 64 ปี เดินทางมาพร้อมเพื่อนบ้าน ชาวบ้านช่อแล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ รวม 11 คน ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ของวันที่ 12 ม.ค. โดยเป็นการเดินทางมายังท้องสนามหลวงเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยนำกล้วยหอมทองมาแจกจ่ายแก่ประชาชนที่มาลงนามถวายอาลัยเมื่อปลายปีก่อน

คณะผู้บริหารและพนักงาน บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด

“ช่วงก่อนปีใหม่อยากจะมากราบพระองค์ท่านมาก พวกเราเลยรีบทำงานสวนไร่กันให้เสร็จ แล้วรวมตัวกันมาอีกครั้ง โดยที่ อ.แม่แตง พระองค์ได้พระราชทานโครงการสร้างเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล แก้ไขปัญหาน้ำท่วม และเสริมสร้างการทำเกษตรกรรมให้ชาวบ้าน จำได้ว่าเมื่อตอนเด็กๆ น้ำท่วมเข้าบ้านตลอดปีละ 2 ครั้ง แต่พอมีเขื่อนก็ไม่ท่วมอีกเลย แถมหน้าแล้งยังมีน้ำใช้ ตอนที่พระองค์เสด็จฯ มาเปิดเขื่อนเราอายุประมาณ 25 ปี ก็ไปรอรับเสด็จฯ ด้วย ทั้งดีใจที่ได้เห็นพระพักตร์ในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ทรงทำให้ความเป็นอยู่เราดีขึ้นมาก ปัจจุบันพื้นที่แม่แตงปลูกกล้วยหอม ลิ้นจี่ ขึ้นดีมาก เป็นสินค้าส่งออกทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ไม่มีน้ำท่วมชาวบ้านเลยมีรายได้ตลอดทั้งปี วันนี้เข้าไปด้านในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทก็รู้สึกคิดถึงพระองค์มากๆ นึกขอให้พระองค์ได้อยู่บนสรวงสวรรค์ ช่วยปกปักษ์รักษาประชาชนให้สงบสุขต่อไป” นางขันแก้วกล่าวด้วยความซาบซึ้ง

ด้านกลุ่มนักเรียนโรงเรียนทุ่งทรายวิทยา จ.กำแพงเพชร กว่า 50 คน ที่เดินทางมาพร้อมคณะอาจารย์ด้วยรถบัสตั้งแต่ช่วงค่ำ ของวันที่ 12 ม.ค. และรอต่อแถวตอนตี 2 จนได้เข้ากราบในช่วงเช้า โดยน.ส.พรทิพย์ กลิ่นเทียน อายุ 19 ปี นักเรียนชั้น ม.6 เผยความรู้สึกว่า วันนี้ถึงจะเหนื่อยแต่ก็คุ้มค่ามากที่ได้มาสักการะในหลวง รัชกาลที่ 9 สักครั้งในชีวิต เพราะพระองค์ทรงเหนื่อยเพื่อคนไทยมาเยอะมาก การที่เรามารอในวันนี้ยังเหนื่อยไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของสิ่งที่พระองค์ทำให้พวกเราเลย

“รุ่นหนูไม่ทันได้เห็นพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยตาตัวเอง แต่ใช้วิธีการศึกษาจากหนังสือ และโทรทัศน์ ทำให้รู้ว่าพระองค์ทรงงานหนักมากจริงๆ และไม่ย่อท้อเลย จากนี้จะตั้งใจสานต่อสิ่งที่พระองค์สอนและทำให้เป็นแบบอย่างให้มากที่สุด เชื่อว่าเป็นสิ่งดีๆ ที่พระองค์มอบให้คนไทยอยู่ดีกินดีตลอดชีวิต ตอนนี้ที่บ้านจะปลูกผักทานเอง แบ่งขายบ้าง และยังใช้หลักเกษตรผสมผสานในพื้นที่รอบบ้าน ปลูกดอกบัวขายด้วย มีกินใช้พอดี พอเพียงทุกวัน และมีความสุขมาก” น.ส.พรทิพย์ เผย

ส่วน น.ส.อรอุมา แก้วกระแสน อายุ 19 ปี เล่าว่า ที่โรงเรียนจะสอนให้ปฏิบัติตามความพอเพียง เริ่มจากให้รู้จักการปลูกข้าว ปลูกพืชผัก ทานเอง ทำเป็นอาหารกลางวันและขายบ้าง ซึ่งที่บ้านก็ทำสวนทำไร่อยู่แล้ว เลยได้ความรู้จัดสรรพื้นที่ทำสวนผสมให้ได้ประโยชน์เกื้อกูลกัน โดยวันนี้ได้เข้าไปกราบพระองค์แล้วรู้สึกทั้งตื่นเต้นและขนลุก เพราะไม่เคยมีโอกาสได้รับเสด็จพระองค์เลย แต่เรารู้เรื่องราวที่ทรงทำให้ชาวไทยอยู่ในใจแล้ว รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้

ขณะที่คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี รองประธานกรรมการบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีว่า หากพูดถึงความประทับใจที่มีต่อในหลวง รัชกาลที่ 9 นั้นยากที่พรรณนา แม้พระองค์จะเสด็จสวรรคตแล้ว แต่ก็สร้างชื่อเสียงดังไปทั่วโลกให้กับประเทศไทยอย่างมาก เพราะไม่มีพระมหากษัตริย์ประเทศใดจะทรงงานได้เหมือนกับพระองค์ ตนประทับใจทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำมา ส่วนตัวได้น้อมนำคำสอนที่พระองค์ทรงตรัสกับครอบครัวเป็นการภายใน แต่คิดว่าคำสอนของพระองค์และสิ่งที่ทรงทำไว้เป็นแบบอย่างที่ดีหมด หากใครน้อมนำมาเป็นแบบอย่างดำเนินชีวิตได้มากเท่าไหร่ ก็ดีต่อชีวิตมากเท่านั้น

“นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พูดถึงความประทับใจที่มีต่อพระองค์กับสื่อมวลชน เพราะปกติจะเก็บไว้ในใจเท่านั้น พูดไปก็ขนลุกไป พระองค์ทรงเยี่ยมมาก ครอบครัวเราโชคดีที่มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระองค์ วันนี้ได้มีโอกาสร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศล ส่วนในเดือน เม.ย.นี้ ครอบครัวสิริวัฒนภักดีได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ให้ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลพิธีกงเต็กถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชอีก ก็จะปฏิบัติเหมือนตอนทำถวายในการบำเพ็ญกุศลพิธีกงเต็กสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศเหนือ เยื้องกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน โดยแบ่งเป็นมื้อเช้าเวลา 07.00 น. ข้าวต้มเลือดหมู 1,500 จาน กาแฟสด 2,500 แก้ว นมหนองโพ 2,000 กล่อง

มื้อกลางวันเวลา 11.00 น. ผัดไทยโบราณ 1,000 จาน ไก่ทอดซอสมะขามราดข้าว 1,000 จาน ข้าวผัดต้มยำไก่กรอบ 1,000 จาน แกงฮังเลหมูราดข้าว 1,000 จาน มื้อบ่ายเวลา 16.00 น. ขนมไทย 1,000 กล่อง สแน็คบ็อกซ์ 1,000 กล่อง เฉาก๊วย 1,000 ถุง มื้อเย็นเวลา 18.00 น. ขนมจีนน้ำยาปลากราย, ซูชิ และซุปมิโสะ 5,000 จาน โดยมีน้ำดื่มสมุนไพร 700 ลิตร และน้ำดื่มให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน

ส่วนที่เต็นท์หน่วยแพทย์พระราชทาน ซึ่งตั้งอยู่ภายในท้องสนามหลวง ด้านทิศเหนือ ฝั่งศาลฎีกา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงห่วงใยในพสกนิกรที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงทรงมีรับสั่งให้มีหน่วยแพทย์พระราชทานมาดูแลสุขภาพประชาชนเป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องจนครบ 100 วัน

โดยวันนี้มีแพทย์ พยาบาล เภสัชกร เวชกิจฉุกเฉิน และเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลพนัสนิคม จ.ชลบุรี และโรงพยาบาลตรัง จ.ตรัง รวม 23 คน มาตรวจรักษาและให้บริการทางการแพทย์ ในการนี้ได้พระราชทานข้าวไก่ทอดราดซอส จำนวน 500 กล่อง ให้แก่ประชาชนด้วย

เวลา 16.30 น. คณะผู้บริหารและพนักงาน บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัทซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด บริษัท เจียไต๋ จำกัด บริษัท ทรู คอร์ปปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู วิชั่น กรุ๊ป จำกัด กลุ่มบริษัทดีที และบริษัทเชลล์ฮัท เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด โรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน เป็นเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศลพระบรมศพ

มีพระพิธีธรรม จำนวน 8 รูป จากวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร สวดพระอภิธรรมพระบรมศพ โดยมี นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นประธานในพิธี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน