เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 23 ก.พ. ที่ห้องพิจารณาคดี 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำ อ.2962/2554 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ: เสียงทักษิณ (VOICE OF TAKSIN) และแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา เพื่อประชาธิปไตย อายุ 53 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นและแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ และองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

อัยการโจทก์ฟ้อง เมื่อวันที่ 22กรกฎาคม 2554 ระบุความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 15 มีนาคม 2553 จำเลย เป็น บก.นิตยสาร วอยซ์ ออฟ ทักษิณ ได้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย เผยแพร่นิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ : เสียงทักษิณ ปีที่ 1 ฉบับที่ 15 ปักษ์หลัง เดือนกุมภาพันธ์ 2553 ที่พิมพ์บทความ คมความคิด ของผู้ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ เรื่องแผนนองเลือดกับยิงข้ามรุ่น หน้าที่ 45-47

โดยเนื้อหาบทความสื่อในลักษณะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งไม่มีมูลความจริง เหตุเกิดที่แขวงและเขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร และทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักรไทย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 91, 112 และขอให้นำโทษจำคุกคดีอาญาหมายเลขแดง อ.1078/2552 ที่หมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ซึ่งศาลอาญานี้ได้มีคำพิพากษาแล้ว มาบวกกับโทษจำคุกคดีนี้ด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดีว่าเป็นเพียงลูกจ้างในนิตยสาร ได้รับค่าตอบแทน 25,000 บาทต่อเดือน และจำเลยไม่มีเจตนา ซึ่งนามปากกาการเขียนบทความ จิตร พลจันทร์ คือนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้เขียนบทความส่งมายังนิตยสารเป็นประจำ และได้มีการตีพิมพ์หลายครั้ง โดยเมื่อจำเลยอ่านบทความแล้วเห็นว่าเป็นการกล่าวถึงอำมาตย์เท่านั้น และเป็นการกล่าวเตือนถึงความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์

คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2556 เห็นว่าแม้เนื้อหาในบทความทั้ง 2 ฉบับ ไม่ได้กล่าวถึงชื่อบุคคล แต่เขียนโดยมีเจตนาเชื่อมโยงเหตุการณ์ในอดีต และเมื่อนำเหตุการณ์มาเชื่อมโยงแล้ว ฟังได้ว่ามีเนื้อหาทำนองที่ไม่เชิดชู และเสียดสีสถาบัน มีการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พิพากษาจำคุกจำเลย 2 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี และให้นับโทษ 1 ปี คดีหมิ่นประมาทฯ พล.อ.สพรั่งด้วย รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 11 ปี

ต่อมาวันที่ 19 กันยายน 2557 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และให้นับโทษ คดีหมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง ด้วย รวมจำคุกจำเลย ทั้งสิ้น 11 ปี เนื่องจากเห็นว่า การจัดจำหน่ายนิตยสารที่บทความมีเนื้อหาหมิ่นสถาบัน ซึ่งขณะนั้นปรากฏว่ามีจำเลยเพียงผู้เดียวที่มีอำนาจหน้าที่ในตำแหน่งบรรณาธิการ ซึ่งการกระทำที่มีการเผยแพร่จัดจำหน่ายดังกล่าวเป็นการกระทำผิด มิใช่การกล่าวหาให้ต้องรับผิดตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ฯ และเนื้อหาทำนองที่ไม่เชิดชู และเสียดสีสถาบัน ขณะเดียวกัน การพิมพ์ตัวอักษรบางคำใช้ตัวดำหนายิ่งเป็นการตอกย้ำในการสื่อความหมาย เนื้อหาในบทความก็ขัดกับหลักความรู้และเหตุผลตามประวัติศาสตร์

การฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนี้ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัว นายสมยศ จำเลย เดินทางจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในชุดนักโทษมีเครื่องพันธนการที่ขา ซึ่งนายสมยศมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสโบกมือทักทายกับสื่อมวลชนที่รอมาทำข่าว โดยนายจตุพร พรหมพันธ์ ประธาน นปช. จำเลยคดีก่อการร้าย ที่เดินทางมาฟังการสืบพยาน ได้มาให้กำลังใจพร้อมตบที่บ่านายสมยศ บรรยากาศในห้องพิจารณาคดีมีผู้มาให้กำลังใจและผู้สังเกตการณ์ทั้งชาวไทยและต่างประเทศจนเต็มห้องพิจารณา

ทั้งนี้ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ที่นายสมยศจำเลยยื่นฎีกาเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกา การที่จะสามารถยื่นได้นั้นจะต้องมีผู้รับรองฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221

ที่จำเลยฎีกาว่าบทความหมายถึงอำมาตย์ ซึ่งไม่ใช่พระมหากษัตริย์ เป็นการฎีกาในข้อเท็จจริง คดีนี้จำเลยจึงไม่สามารถฎีกาได้

ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่าตนเองเป็นบรรณาธิการไม่ใช่ผู้เขียนบทความ และได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่เขียนบทความหมิ่นเบื้องสูง ไม่มีเจตนา และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันนั้น ศาลเห็นควรปรับบทลงโทษเพื่อให้เหมาะสมกับพฤติการณ์ เพศอายุ และการศึกษา แก้เป็นจำคุกจำเลยในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กระทงละ 3 ปี 2 กระทง รวม 6 ปี และให้นับโทษจำคุก 1 ปี คดีหมิ่น พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รวมจำคุกทั้งสิ้น 7 ปี

นายสมยศ กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาว่า ตนถูกจำคุกมาแล้ว 5 ปีเศษ เดือนเมษายนนี้ก็จะครบ 6 ปี เมื่อถามว่ามีอะไรจะกล่าวหรือไม่ นายสมยศ กล่าวว่า ก็ขอให้ปรองดองกันให้ได้แล้วกัน

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน