ป.ป.ส. แจงปมเจ้าหน้าที่บุกจับมูลนิธิแห่งหนึ่งวิจัย กัญชา จะเอื้อประโยชน์นายทุน หลังพบมีการนำแจกน้ำมันสารสกัดจากกัญชาให้ประชาชน

จากกรณีการเข้าตรวจสอบที่ทำการมูลนิธิแห่งหนึ่ง พบต้นกัญชาที่เพาะปลูกได้ไม่นานกว่า 200 ต้น น้ำมันสกัดจากกัญชาประมาณ 20 ลิตร กัญชาบดผงประมาณ 500 กรัม เมล็ดกัญชา 1.8 กิโลกรัม และอุปกรณ์อื่น ๆ พร้อมจับผู้ต้องหา 1 ราย ในข้อหาผลิตและครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น อ่านข่าว : แอบบุกศูนย์ทดลองปลูกพันธุ์ข้าว แต่โตมาดันเป็น กัญชา ตากแห้ง-บด พร้อม!

ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดข้อกังวลว่าการดำเนินการดังกล่าว อาจเป็นผลจากนโยบายการปลดล็อคกัญชาเพื่อให้นายทุนผูกขาดทั้งการปลูก การสกัด และการจำหน่ายกัญชาหรือไม่ และมีข้อสังเกตว่ากัญชาของมูลนิธิดังกล่าว เป็นการวิจัยเพื่อแจกให้ประชาชนแบบให้เปล่า ประกอบกับอยู่ในช่วงนิรโทษกรรม 90 วัน อีกทั้งอาจทำให้ผู้ที่กำลังศึกษาวิจัยเรื่องกัญชาต้องหยุดดำเนินการเพื่อมิให้ถูกดำเนินคดี

ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 เม.ย. นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) กล่าวชี้แจงว่า การเข้าตรวจสอบที่ทำการของมูลนิธิดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1-2 เม.ย.ที่ผ่านมา มีการแพร่ภาพและเนื้อความทางสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีการแจกน้ำมันสารสกัดจากกัญชาให้กับประชาชน เพื่อนำไปใช้ในการรักษาอาการเจ็บป่วย ภายในวัดที่จ.พิจิตรและจ.ลพบุรี

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

นายนิยม กล่าวต่อว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่ามีการนำสารสกัดจากกัญชามาแจกให้กับประชาชนจริง โดยผู้นำมาแจกมาจากมูลนิธิแห่งหนึ่งในจ.สุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่จึงได้สร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนว่า กัญชายังคงเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย การผลิต จำหน่าย ครอบครอง ต้องได้รับอนุญาต ประชาชนทั่วไปไม่สามารถปลูกกัญชาเองได้

นายนิยม กล่าวอีกว่า จากนั้นได้มีการไปตรวจสอบที่ทำการมูลนิธิฯ เมื่อพบกัญชาตามรายละเอียดที่กล่าวมาข้างต้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตรวจยึดและจับผู้ต้องหาที่ทำการผลิตและครอบครอง ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย กัญชายังเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 การดำเนินการใด ๆ ไม่ว่าจะผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย ครอบครองหรือเสพ หากไม่ได้รับอนุญาตก็ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย

นายนิยม กล่าวว่า ซึ่งหากเจ้าพนักงานไม่ดำเนินการก็เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับกัญชาเพื่อให้ได้รับการยกเว้นโทษภายใน 90 วัน นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะสิ้นสุดภายในวันที่ 19 พ.ค.นี้ ผู้มีไว้ในครอบครองจะต้องปฏิบัติตามที่เงื่อนไขกำหนดก่อน โดยผู้มีคุณสมบัติตามกฎหมายให้ยื่นขออนุญาต หรือกรณีผู้ป่วย หรือบุคคลอื่นให้แจ้งการมีไว้ในครอบครอง ไม่ได้หมายถึงว่าจะทำการใด ๆ ได้โดยรับการยกเว้นโทษก่อนได้รับอนุญาต หรือแจ้งการครอบครอง

“กรณีมีข้อกังวลว่า การดำเนินการกับมูลนิธิดังกล่าวว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนหรือไม่ ข้อเท็จจริงขณะนี้มีเพียงองค์กรของรัฐ 2 หน่วยงาน ที่ได้รับอนุญาตในการผลิตคือ องค์การเภสัชกรรม และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก อีกทั้งกฎหมายได้กำหนดเงื่อนไข และคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับอนุญาตไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ในระยะ 5 ปีแรก การผลิต นำเข้า ส่งออก กัญชา ให้อนุญาตได้เฉพาะหน่วยงานรัฐ หรือโดยความร่วมมือของหน่วยงานของรัฐเท่านั้น” นายนิยม กล่าว

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวด้วยว่า นับแต่ได้มีการร่างกฎหมายจนกฎหมายมีผลบังคับใช้ สำนักงาน ป.ป.ส. และ สำนักงาน อย. ได้มีการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับประชาชนมาโดยตลอดในหลากหลายช่องทางว่านโยบายของรัฐบาลที่เห็นว่ากัญชาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยได้ จึงให้มีการผ่อนปรนและออกกฎหมายเพื่อการดังกล่าว โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและความปลอดภัยของประชาชนไทยเป็นที่ตั้ง

นายนิยม กล่าวว่า ดังนั้นจึงขอชี้แจงให้พี่น้องประชาชนและองค์กรทุกภาคส่วนมั่นใจว่า การดำเนินการในเรื่องนี้จะไม่มีส่วนเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ใดเป็นการเฉพาะทั้งสิ้น ทั้งนี้ สำนักงาน ปปส จะเร่งดำเนินการสร้างการรับรู้และความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติต่อไป หากมีบุคคลหรือองค์กรใดประสงค์จะดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับกัญชาก็สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สายด่วน ป.ป.ส. 1386 กด 3 หรือ อย. 1556 กด 3 และยื่นขออนุญาตหรือแจ้งการครอบครองภายใต้เงื่อนไขและกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน