ฎีกายืนตามอุทธรณ์จำคุกอ่วม 50 ปี โจฮันเนส เพทรุส มาเรีย ฟานลาร์ โฮเวน มาเฟียดัตช์ ฟอกเงินค้ายา 150 ล้าน โอนเข้าแบงก์ในพัทยา ส่วนเมียคนไทยโดน 7 ปี 4 เดือน

มาเฟียดัตช์ / เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 27 ส.ค. ที่ห้องพิจารณา 716 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาฎีกาคดีฟอกเงิน อ.3423/57 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 3 เป็นโจทก์ฟ้อง นายโจฮันเนส เพทรุส มาเรีย ฟานลาร์ โฮเวน อายุ 59 ปี ชาวเนเธอร์แลนด์ นางมิ่งขวัญ ฟาน ลาร์โฮเวน หรือนางมิ่งขวัญ แก่นอินทร์ อายุ 37 ปี ภรรยาชาวไทย

ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งได้มาจากการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดกัญชา 300 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่บุกจับกุมทั้ง 2 ได้ที่บ้านพักบนเนื้อที่ 2 ไร่เศษ ในสนามกอล์ฟฟีนิกซ์ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ตรวจยึดทรัพย์สินต่างๆ ที่ได้จากการฟอกเงินมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท จำเลยทั้ง 2 ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้ง 2 กระทำผิดตามฟ้องจริง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โดยนายโจฮันเนส จำเลยที่ 1 กระทำผิด 43 กระทง จำคุก 103 ปี ส่วนนางมิ่งขวัญ จำเลยที่ 2 กระทำผิด 13 กระทง จำคุก 18 ปี คำให้การ และทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้างลดโทษให้จำเลยคนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 68 ปี 8 เดือน ทั้งนี้ ตามกฎหมายให้จำคุกในความผิดฐานฟอกเงินได้ไม่เกิน 20 ปี จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 20 ปี ตามกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ 2 คงจำคุก 12 ปี ส่วนความผิดฐานอื่นให้ยก

ส่วนศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์มีพยานบุคคลเป็นเจ้าหน้าที่ของต่างประเทศนำสืบเบิกความสอดคล้องกันว่า จำเลยกระทำผิดเป็นขบวนการโดยมีหลักฐานจากการส่งสายสืบ การดักฟังโทรศัพท์ บัญชีการเงิน และยังเบิกความเป็นขั้นตอนยากแก่การปรุงแต่งเรื่องราว พยานหลักฐานมีน้ำหนักให้รับฟัง เชื่อว่าจำเลยทั้ง 2 กระทำผิดจริง

ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเงินที่ได้มาจากการขายธุรกิจร้านกาแฟจำนวน 4 แห่งนั้น พบว่ามีการโอนเข้าบัญชีซึ่งมีมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท เป็นเงินจำนวนมากเกินกว่ามูลค่าธุรกิจร้านกาแฟ ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่สมเหตุผล การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่ได้จากการโอนขายยาเสพติดเป็นการปกปิดที่มาของเงินที่ได้จากการกระทำผิด

ส่วนจำเลยที่ 2 แม้จะหย่ากับจำเลยที่ 1 แต่พฤติการณ์พบว่ายังอยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยที่ 2 ที่เมืองไทย และปรากฏว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีจำนวนมาก ซึ่งจำเลยที่ 2 ย่อมทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ได้เงินมาอย่างไรย่อมมีส่วนรวมการกระทำผิด อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น การกระทำของจำเลยทั้ง 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

โดยพิพากษาแก้ว่า นายโจฮันเนสจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานฟอกเงิน รวม 15 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 75 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 50 ปี (แต่ตามกฎหมายอาญาแล้วให้จำคุกจริงนับตามกระทงได้ 20 ปี) สำหรับนางมิ่งขวัญ จำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานร่วมกันสนับสนุนการฟอกเงิน รวม 6 กระทง จำคุก 11 ปี ขณะที่คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 7 ปี 4 เดือน

โดยวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัวจำเลยทั้ง 2 จากเรือนจำโดยมีญาติมาร่วมฟังคำพิพากษา

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้อัยการสูงสุดมีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ข้อเท็จจริงฟังได้ตามชั้นพิจารณาของศาลล่าง แต่มีประเด็นต้องพิจารณาว่าจำเลยร่วมกันกระทำผิด และจำเลยที่ 1 ผิด 28 กระทง หรือไม่เห็นว่า จำเลยมีเจตนาลักลอบโอนเงินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด (กัญชา) จากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยรวม 15 ครั้ง ด้วยวิธีโอนเงินจากประเทศเยอรมัน ลักเซมเบิร์ก สิงคโปร์ เข้าธนาคารกสิกรไทยสาขาพัทยาแล้วถอนเงินออกไป 28 ครั้ง เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์กับสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน เพื่อซุกซ่อนปกปิดแหล่งที่มาเป็นการอำพรางการได้มาของเงินจากการค้ายาเสพติด

แม้จะมีการถอนเงินออก 28 ครั้ง แต่ก็เป็นเจตนาเดียวกันกับการโอนเงินมา 15 ครั้งในตอนแรก การทำผิดหาเป็นการโอนเงินมารวม 28 ครั้งตามที่โจทก์ยื่นฎีกาไม่ จึงฟังว่าจำเลยผิดฐานโอนเงินมา 15 ครั้งที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยพิพากษายืนจำคุก 50 ปี (แต่ตามกฎหมายอาญาแล้วให้จำคุกจริงนับตามกระทงได้ 20 ปี) ส่วนนางมิ่งขวัญจำคุก 7 ปี 4 เดือน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน