คุก! ลุงวิศวะ 10 ปี ศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลชั้นต้น ชี้ยิงป้องกันตัว-ครอบครัว ฟังไม่ขึ้น

จากกรณีนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ อายุ 50 ปี หรือลุงวิศวะ ถูกกลุ่มวัยรุ่นกรูเข้าล้อมรถเก๋งและพยายามเข้าทำร้าย นายสุเทพจึงใช้ปืนยิงสวนเพื่อป้องกันตัว เนื่องจากในรถมีเด็กเล็กและคนแก่ จนเป็นเหตุให้ 1 ในกลุ่มวัยรุ่นคือ นายนวพล หรือปอน ผึ่งผาย อายุ 17 ปี เสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณสามแยก ถ.อ่างศิลา ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี เมื่อเวลา 19.00 น.วันที่ 4 ก.พ.2561 คดีดังกล่าวเป็นที่สนใจและวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมเป็นอย่างมากในขณะนั้น

ต่อมาวันที่ 27 ก.ย.2561 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกนายสุเทพ หรือ ลุงวิศวะ เป็นเวลา 15 ปี ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือ 10 ปี ปรับคดีอาวุธปืน 2,000 บาท จ่ายค่าสินไหมทดแทน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทย์ ตามที่เคยเสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 10 ต.ค. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 2 ศาลจังหวัดชลบุรี นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ ปัจจุบันอายุ 52 ปี ในฐานะจำเลยคดีฆ่าผู้อื่น เดินทางมาพร้อมภรรยา เพื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3544 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี โจทก์ และน.ส.มณีพร ผึ่งผาย มารดาของผู้เสียชีวิต เป็นโจทก์ร่วม และนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ จำเลย ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

เมื่อพวกของผู้ตายขับรถยนต์ตู้มาจอดที่หน้าร้านขายของฝาก กีดขวางทางออกของจำเลย แล้วมีการโต้เถียงกันนั้น ยังไม่ปรากฏว่ามีถ้อยคำพูดที่ไม่สุภาพจากฝ่ายใด แต่หลังจากจำเลยกระพริบไฟใส่รถตู้ และบีบแตรหลายครั้ง จำเลยเริ่มใช้คำพูดไม่สุภาพ ในลักษณะยั่วโทสะของผู้ตาย โดยขณะนั้นจำเลยมีอาวุธปืนของกลางอยู่ใกล้ตัว แสดงว่าจำเลยและภริยามีโทสะ และพร้อมที่จะมีเหตุวิวาทกับพวกของผู้ตาย

การที่จำเลยอุทธรณ์อ้างว่า เหตุการณ์ในขณะนั้นมีปากเสียงกันเพียงเล็กน้อยและจบลงแล้ว จึงฟังไม่ขึ้น เมื่อพวกของผู้ตายขับรถยนต์ตู้และรถยนต์เก๋งออกไปแล้ว หากจำเลยมีสติ รู้จักยับยั้งชั่งใจอารมณ์ร้อนบ้าง โดยจอดรถรอสักพักหนึ่งก่อน เพื่อให้โทสะคลายลงแล้วค่อยขับรถออกไป เหตุทะเลาะวิวาทในคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จำเลยกลับขับรถตามไปในทันที ขับแซงรถยนต์ตู้บีบแตรยาวใส่ แสดงให้เห็นว่าจงใจเจตนายั่วโทสะพวกของผู้ตาย มิใช่การบีบแตรเตือน ดังที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์

จำเลยขับไปอยู่ด้านหน้า เมื่อพวกของผู้ตายซึ่งขับตามรถจำเลยมาบีบแตรยาวและเปิดไฟสูงใส่รถจำเลย อันเป็นการส่งสัญญาณความไม่พอใจและท้าทาย จำเลยก็ชะลอความเร็วลงจนเกือบจะหยุดรถ เพื่อให้พวกผู้ตาย ขับชนท้ายและบีบแตรรถในลักษณะส่งสัญญาณโต้ตอบกลับไป อันเป็นการรับคำท้าทายของฝ่ายผู้ตายกับพวก ทั้งมีเจตนายั่วโทสะฝ่ายผู้ตายให้เพิ่มมากขึ้น และไม่กรงกลัววจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน เหตุที่จำเลยมีพฤติการณ์เช่นนี้ ก็เนื่องจากจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย แสดงให้เห็นถึงนิสัยและพฤติกรรมของจำเลยว่าพร้อมที่จะสมัครใจวิวาท

เมื่อพวกของผู้ตายขับรถยนต์เก๋งมาถึงที่เกิดเหตุ จำเลยหักหัวรถอย่างกะทันหัน ในลักษณะปาดหน้าและขัดขวางมิให้รถยนต์เก๋งของพวกผู้ตายขับต่อไปได้ แสดงให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนาวิวาทกับผู้ตายและพวกมาตลอดเส้นทาง จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุจำเลยก็ยังมีเจตนาวิวาทอยู่ เมื่อจำเลยเห็นว่าผู้ตายกับพวกมากัน หลายคนก็เริ่มเกิดความกลัว แต่ยังคงพูดกับผู้ตายและพวกด้วยน้ำเสียงดุดัน ในลักษณะไว้ท่าทีว่าจะเอาเรื่อง มิใช่คำพูดในทำนองขอโทษการกระทำของตน

หรือแสดงให้เห็นว่าไม่อยากมีเรื่องหรือให้เลิกแล้วกันไป แม้ฝ่ายผู้ตายกับพวกทำร้ายร่างกายจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันมา ไม่ขาดตอนนับระยะเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเพียง 5 นาทีเศษ

ตามพฤติการณ์ เป็นกรณีจำเลยเป็นผู้เริ่มต้นก่อให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาท และเมื่อจำเลยยั่วโทสะท้าทายจนฝ่ายผู้ตายโต้ตอบ และสมัครใจร่วมวิวาทกับจำเลยแล้ว จำเลยจึงไม่อาจกล่าวอ้างว่า ฝ่ายผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุ และเมื่อเหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น จำเลยจึงจำต้องชักปืนออกมายิงเพื่อป้องกันชีวิตของจำเลยและคนในครอบครัว อันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

จากนั้น นายสุเทพ ได้ให้ทนายความยื่นคำร้องขอประกันตัวเพื่อขอสู้คดีต่อในชั้นฎีกา ด้วยเงินสดจำนวน 874,000 บาท พร้อมกล่าวว่า ยอมรับในคำตัดสินของศาล แต่ต้องการสู้เพื่อให้ความจริงปรากฏ อีกทั้งตนยังมีปัญหาในเรื่องสุขภาพ เป็นโรคเบาหวานและอีกหลายโรค

ด้าน น.ส.มณีพร มารดาผู้เสียชีวิต กล่าวว่า รู้สึกพอใจต่อคำตัดสินของศาล ทำให้เห็นถึงความยุติธรรมมีจริง ซึ่งรู้สึกเหนื่อยมากกับการเดินทางมาศาลในระยะ 2 ปี โดยหลังเกิดเรื่อง ทางฝ่ายจำเลยก็ยังไม่มีการพูดคุยกันเลย รวมถึงไม่มีการจ่ายสินไหมทดแทนอีกด้วย

ขณะที่นายวันชัย แสงสุวรรณ์ ทนายฝ่ายผู้เสียชีวิต เผยว่า จำเลยมีสีหน้านิ่ง แต่ก็ยังยังยืนต่อศาลเป็นการป้องกันตัว แต่ศาลเห็นว่าจำเลยสมัครใจเข้าไปมีส่วนร่วมทะเลาะวิวาทมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่อง จึงมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นคือจำคุก 10 ปี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน