อ่านคำพิพากษาคดี ลุงวิศวะ ยิงหนุ่ม 17 ชี้ถ้ามีสติรู้จักยับยั้งชั่งใจคงไม่เกิดเรื่อง!

จากกรณีศาลมีคำพิพากษาจำคุกคดีนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ อายุ 50 ปี วิศวกร หรือลุงวิศวะ ก่อเหตุยิงเข้าใส่กลุ่มวัยรุ่นที่กรูเข้าล้อมรถเก๋งและพยายามจะเข้าทำร้าย ทำให้นายนวพล หรือปอน ผึ่งผาย อายุ 17 ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ บริเวณหน้าที่ตั้งครกใหญ่ สามแยกถนนอ่างศิลา ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 19.00 น. โดยตัดสินจำคุก 15 ปี และลดโทษ 1 ใน 3 เหลือ 10 ปี พร้อมชดใช้ค่าเสียหายนั้น

ทั้งนี้ คำพิพากษาคดีดังกล่าว ระบุ คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2561 พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี เป็นโจทก์ฟ้อง นายสุเทพ โภชนสมบุรณ์ เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่รับใบอนุญาต จากกรณีจำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายนวพล หรือ ปอน ผึ่งผาย ถึงแก่ความตาย

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 บริเวณแยกครกใหญ่ ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี หรือเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า คดีลุงวิศวะยิงเด็กนักเรียน ม.4 ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานพาอาวุธปืน ส่วนความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกันตัว

จุดแรกที่เกิดเหตุหน้าร้านขายของฝาก

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่รับใบอนุญาต แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง ส่วนปัญหาการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่าเหตุคคีนี้สืบเนื่องมาจากพวกของผู้ตายซึ่งเป็นคนขับรถยนต์ตู้ จอดรถที่หน้าร้านขายของฝากกีดขวางทางออกของจำเลย ทำให้มีปากเสียงกัน

หลังเหตุวิวาทจบลงไป ภายหลังจากพวกผู้ตายขับรถยนต์ตู้และรถยนต์เก๋งออกไปโดยมิได้ท้าท้ายจำเลยอีก หากจำเลยมีสติรู้จักยับยั้งชั่งใจ จอดรถรอสักพักหนึ่งก่อนเพื่อให้โทสะคลายลงแล้วค่อยขับรถออกไป เหตุคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จำเลยกลับขับรถตามรถทั้งสองคันนั้นไปในทันที ขับแซงรถยนต์ตู้ บีบแตรยาวใส่แล้วขับไปอยู่ด้านหน้า ชะลอความเร็วลง จนเกือบจะหยุดรถเพื่อให้ชนท้าย

ทั้งภริยาจำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพรถยนต์เก๋งพวกของผู้ตายไว้อีก เช่นนี้ย่อมเป็นการท้าทายผู้ตายกับพวกให้เกิดโทสะและเข้ามาวิวาทกับจำเลย เหตุที่จำเลยมีความฮึกเหิมกล้าท้ายก็เนื่องจากจำเลยพาอาวุธปืนซึ่งบรรจุลูกกระสุนปืนไว้แล้วติดตัวไปด้วย และเตรียมอาวุธปืนไว้ตั้งแต่ที่หน้าร้านขายของฝาก บ่งชี้ถึงเจตนาของจำเลยว่าพร้อมที่จะสมัครใจวิวาทเมื่อพวกของผู้ตายขับรถยนต์เก๋งมาถึงที่เกิดเหตุ

ระหว่างขับออกจากร้านของฝาก ไปถึงจุดเกิดเหตุ

จำเลยหักหัวรถอย่างกะทันหันในลักษณะปาดหน้า และขัดขวางมิให้รถยนต์เก๋งของพวกผู้ตายขับต่อไปได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาวิวาทกับผู้ตายกับพวกมาตลอดเส้นทาง จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นจุดสุดท้ายก่อนที่จะยิงกันจำเลยก็ยังมีเจตนาวิวาทอยู่ เมื่อจำเลยเห็นว่าผู้ตายกับพวกมากันหลายคนก็เริ่มเกิดความขลาดกลัว แต่ยังคงพูดกับผู้ตายกับพวกด้วยน้ำเสียงและคำพูดในลักษณะไว้ท่าทีว่าจะเอาเรื่อง มิใช่คำพูดในทำนองขอโทษการกระทำของตน หรือแสดงให้เห็นวาไม่อยากมีเรื่องหรือให้เลิกแล้วกันไป

  • เห็นได้ว่าสมัครใจวิวาท

ประกอบกับจำเลยเตรียมอาวุธปืนไว้พร้อมยิงต่อสู้กับฝ่ายผู้ตาย จึงต้องฟังว่าต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาท แม้ฝ่ายผู้ตายกับพวกทำร้ายร่างกายจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันมาไม่ขาดตอน นับระยะเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเพียง 5 นาทีเศษและตามพฤติการณ์เป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาทกัน

เหตุการณ์เพียงเสี้ยวนาที

จำเลยจะอ้างว่ายิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของตนไม่ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ตายกับพวกทำร้ายมารดา ภริยา และหลานที่มากับจำเลย จึงมิอาจอ้างได้ว่ายิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะมาถึงจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานพาอาวุธปืน และฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามฟ้อง แต่เนื่องจากจำเลยมิได้มีจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงโจรผู้ร้าย เพียงแต่ขาดสติยับยั้งชั่งใจในการควบคุมตน จำเลยยิงปืนไปเพียง 1 นัด หลังเกิดเหตุมิได้หลบหนีไปไหนและยอมรับกับเจ้าหนักงานตำรวจในทันทีว่าเป็นคนยิงผู้ตาย

ประกอบกับผู้ตายมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด เห็นสมควรลงโทษจำเลยในสถานเบา ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธปืน ปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 10 ปี ปรับ 2,000 บาท ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของ นางสาวมณีพร ผึ่งผาย มารดาผู้ตาย และให้ถือว่านางสาวมณีพร อยู่ในฐานะผู้ร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง

เนื่องจากคดีนี้เป็นที่น่าสนใจของประชาชน นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล อธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 จึงมีคำสั่งมอบหมายให้นายสุบิน ชิ้นประเสริฐ รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 นั่งพิจารณาและพิพากษาคดีด้วย ศาลจังหวัดชลบุรีนัดพร้อมเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของจำเลยเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 นัดตรวจพยานหลักฐาน เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560

นัดสืบพยานต่อเนื่องในวันที่ 22 ถึง 25 พฤษภาคม 2561 วันที่ 30 พฤษภาคม 2561 วันที่ 20 และ 24 กรกฎาคม 2561 มาเสร็จสิ้น เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2561 โดยสืบพยานโจทก์ทั้งหมด 19 ปาก พยานโจทก์ร่วม 1 ปาก และพยานจำเลย 2 ปาก แล้วอ่านคำพิพากษาไปในวันนี้ นับระยะเวลาตั้งแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ศาลอ่านคำพิพากษาเป็นเวลา 1 ปี 23 วัน

โดยจำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวตลอดมา อันเป็นการสนองนโยบายของประธานศาลฎีกาที่เร่งรัดให้พิจารณาคดีเสร็จไปโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนและสังคมมีความศรัทธาและเชื่อมั่นในกระบวนการอำนวยความยุติธรรมของศาลยุติธรรม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน