เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 14 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม นำกำลังไปดักรอ นายอินทระศักดิ์ เตชธีรสิริ หรือ “บอย ยูนิตี้” กรรมบริษัทเอสทีที ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ย่านรัชดาภิเษก และสุขุมวิท 63 บริเวณซอยสีคราม ทางเข้าออกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อควบคุมตัวนายอินทระศักดิ์

ซึ่งนายอินทระศักดิ์จะเดินทางมาที่ศาลพร้อมกับทีมทนายความ นำหลักฐานมายื่นฟ้องพ.ต.อ.ไพสิษฐ์ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กับพวกซึ่งเป็นรองอธิบดี และพนักงานสอบสวน รวม 12 คน ฐานปฎิบัติหน้าที่มิชอบ /บุกรุก / และแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อศาล กรณีดีเอสไอสั่งปิดโชว์รูมรถยนต์ 2 แห่งและนำกำลังเข้าตรวจค้น เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา พร้อมอายัดรถยนต์หรูรวม 34 คัน โดยกล่าวหาว่ามีรถภายในโชว์รูมบางส่วนถูกโจรกรรมมาจากประเทศอังกฤษ และมีการแจ้งสำแดงเท็จ

ซึ่งศาลนัดฟังคำสั่งช่วงบ่ายวันที่ 27 มิ.ย. โดยนายอินทระศักดิ์ระบุจะเดินทางมาด้วยตัวเอง ก่อนขึ้นรถยนต์ ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีดำ ป้ายแดง ทะเบียน บ1186 กรุงเทพมหานคร ออกจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจับกุมครั้งนี้เจ้าหน้าที่ใช้รถกระบะและรถจักรยานยนต์ ขับติดตามออกไปก่อนสกัดรถนายอินทระศักดิ์ บริเวณถนนนครไชยศรีและควบคุมตัวขึ้นรถ ซึ่งผู้ติดตามนายอินทระศักดิ์ ระบุว่า เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม และกำลังจะติดตามไปที่กองบังคับการปราบปราม ด้วยโดยยังไม่มีการชี้แจงรายละเอียดใดๆต่อสื่อมวลชน

สำหรับนายอินทระศักดิ์ หรือ บอยยูนิตี้ ได้แถลงข่าวชี้แจงต่อสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. พร้อมนำหลักฐานยืนยันว่าการนำเข้า สำแดงราคา และเสียภาษีรถยนต์อย่างถูกต้องตามขั้นตอน และมีการฟ้องแพ่งดีเอสไอฐานละเมิดปิดโชว์รูมไม่สามารถประกอบธุรกิจได้เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท

ต่อมาเวลา 15.30 น. วันเดียวกัน ภายหลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายอินทระศักดิ์ กลับมาสอบปากคำเพิ่มเติมที่กองปราบปราม พร้อมแจ้งข้อกล่าวหา และตรวจค้นตรวจค้นรถยนต์บีเอ็มดับเบิ้ลยู สีดำรุ่น ทะเบียนป้ายแดง บ1186 กรุงเทพมหานคร ของนายอินทระศักดิ์ เพื่อเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน โดยยังพบชาร์จแสดงการเสียภาษีรถที่นายอินทระศักดิ์ เคยนำเสนอต่อสื่อมวลชนด้วย

ด้าน พ.ต.อ.จิรภพ ภูริ เปิดเผยว่า คดีนี้มีผู้เสียหาย 5 ถึง 6 ราย ที่เข้าแจ้งความว่าได้ซื้อรถยนต์หรู มูลค่าตั้งแต่ 8 ล้านบาท ถึง 30 ล้านบาท จากบริษัทของนายอินทระศักดิ์ แล้วก็ไม่สามารถนำไปจดทะเบียนได้ ทำให้ถูกตำรวจและเจ้าหน้าที่ศุลกากรจับกุมเนื่องจากไม่ได้เสียภาษี ภายหลังการรับแจ้งความ จึงได้รวบรวมหลักฐาน โดยในคดีของผู้เสียหายที่ซื้อรถยนต์ปอร์เช่ รุ่นพานาเมร่า ไปใน ราคา 8 ล้านบาท ซึ่งมีหลักฐานชัดเจน จึงขอศาลออกหมายจับนายอินทระศักดิ์ ไปเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน วันนี้จึงนำกำลังเข้าจับกุม หลังสืบทราบว่าผู้ต้องหาจะเดินทางมายื่นฟ้องกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

พ.ต.อ.จิรภพ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ก็จะสอบปากคำผู้ต้องหา พร้อมแจ้งข้อหาในความผิดมูลฐานเดียวกันคือฉ้อโกงประชาชน นอกจากนี้ ก็มีในส่วนของคดีที่ผู้ซื้อรถลัมโบกินี่ รุ่นอเวนทาดอร์ มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท แล้วเกิดปัญหาจดทะเบียนไม่ได้อีก 1 คดีด้วย ส่วนการออกหมายจับและเข้าจับกุมโดยไม่ออกหมายเรียก นั้นก็เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษเกิน 3 ปี พนักงานสอบสวนสามารถออกหมายจับหรือออกหมายเรียกได้ แต่ที่ใช้แนวทางออกหมายจับและจับกุมทันที เนื่องจากพยานหลักฐานชัดเจน

ส่วน นายอินทระศักดิ์ กล่าวว่า ตำรวจแจ้งข้อหาคดีฉ้อโกงประชาชน ซึ่งรายละเอียดนี้ยังไม่ทราบเรื่อง แต่รู้ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2557 รถคันที่มีปัญหาเป็นรถปอร์เช่ รุ่นพานาเมร่า ถูกนำออกมาจากกรมศุลกากร และมีปัญหากันอยู่ ครั้งนั้นทางกรมศุลกากรได้ปล่อยให้นำรถออกมาจากท่าเรือแหลมฉบัง ขณะที่ยังไม่ได้เสียภาษี และเมื่อถึงเวลาจะเสียภาษี ทางกรมศุลการก็ไม่ยอมให้เสียภาษี พอเกิดเรื่องจึงได้มีการฟ้องร้องกัน

“อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกแปลกใจและยังงงๆ ที่ถูกจับแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งไม่ทราบมาก่อนว่าตัวเองมีหมายจับ โดยส่วนตัวมองว่าคดีนี้ตำรวจสามารถออกหมายเรียกได้ แต่ก็ใช้จับกุมแทน ส่วนตัวไม่ได้กังวลใจอะไรสามารถชี้แจงได้ ทั้งนี้ยินดีให้ความร่วมมือกับตำรวจ โดยเตรียมหลักทรัพย์ เพื่อขอยื่นประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนด้วย” นายอินทระศักดิ์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน