เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 16 มิ.ย. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วย พ.ต.ตฦสุริยา สิงหกมล รองอธิบดีดีเอสไอ และพ.อ.พินิจ ตั้งสกุล ผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมกับนางมาลา ตั้งประเสริฐ รองประธานคณะกรรมการ ปปท. ภาคเอกชน ในฐานะผู้แทนจากบริษัท ซึ่งได้รับความเสียหาย ร่วมแถลงกรณีดีเอสไอได้ตรวจค้นจับกุมขบวนการลักลอบนำเข้าสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้าและสินค้าหลบหนีศุลกากร 100,000 กว่าชิ้น มูลค่าของกลางกว่า 50 ล้านบาท

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า สืบเนื่องจากพ.ต.ท.นิรุติ พัฒนรัฐ ผู้อำนวยการส่วนคดีทรัพย์สินทางปัญญา 3 สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา สืบสวนทราบว่ามีขบวนการทุจริตซึ่งมีนายทุนเป็นต่างชาติ ลักลอบนำสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เช่น โทรศัพท์มือถือ แบตเตอรี่โทรศัพท์ กระเป๋า เครื่องสำอาง และสินค้าอื่นๆ รวมทั้งมีสินค้าอื่นที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยไม่ผ่านกระบวนการทางศุลกากร และนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศจำนวนมาก โดยมีการขนส่งสินค้ามากถึงครั้งละ 2-3 ตู้คอนเทนเนอร์มาเก็บพักไว้ในโกดังย่านถ.กาญจนาภิเษก

ด้าน พ.ต.ต.สุริยา กล่าวว่า สำหรับพฤติการณ์ของกรณีนี้พบว่า หลังจากนำเข้ามาแล้วก็จะทยอยนำไปส่งให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นผู้ค้ารายย่อยทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งจากการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินพบว่าระหว่างปี 2559 ถึงปัจจุบัน นายทุนรายนี้มีรายได้จากการดำเนินกิจการกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งไม่มีการเสียภาษีหรือเสียภาษีเงินได้ไม่ครบถ้วน จึงทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีตัวสินค้า และรวมถึงสูญเสียรายได้จากภาษีเงินได้ของเจ้าของธุรกิจ และถูกเพ่งเล็งว่าไม่ให้ความจริงจังต่อการแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอีกด้วย

ซึ่งมีหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ จึงรับกรณีดังกล่าวไว้สอบสวนเป็นคดีพิเศษ ทั้งนี้ จากการสืบสวนยังพบว่ากรณีนี้เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สำคัญจาก 4-5 กลุ่ม ที่เรามีข้อมูลอยู่ โดยรายนี้ผู้นำเข้ามีการเรียกกันว่า “เจ๊ ฮ.” ดังนั้น จึงอยากฝากไปถึงเจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆที่กำลังทำผิดกฎหมายให้หยุดการดำเนินการดังกล่าว โดยดีเอสไอจะทำการปราบปรามให้หมดทุกเครือข่ายและจะดำเนินคดีฟอกเงินด้วย

พ.อ.พินิจ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา นำหมายค้นศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เข้าตรวจค้นเป้าหมาย 3 จุด คือ 1.โกดังเลขที่ 37/49 ถ.บางระมาด เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ตรวจพบมีการขนสินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรไว้ในโกดัง รวมถึงตรวจยึดรถตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรทุกสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและสินค้าหลบหนีศุลกากรได้ 1 คัน 2.โกดังเลขที่ 37/25 ถ.บางระมาด แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ตรวจพบมีการขนสินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรไว้ในโกดัง

และ 3.ได้ร่วมกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตรวจค้นบ้านเลขที่ 555/32 หมู่บ้าน บี ฮาโมนี ราชพฤกษ์ ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เพื่อหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จากการตรวจค้น สามารถตรวจยึดสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และสินค้าหลบหนีศุลกากรได้กว่า 100,000 ชิ้น ซึ่งมีมูลค่าตามราคาท้องตลาดกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ติดตามผู้กระทำความผิดรายนี้มาดำเนินคดีต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้หรือไม่ พ.อ.พินิจ กล่าวว่า ขณะนี้เราอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าสินค้าประเภทไหนเป็นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสินค้าหลบเลี่ยงภาษี อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ได้จับกุมตัวผู้ต้องหา แต่เรามีข้อมูลและทราบว่าใครเป็นผู้นำเข้า โดยกระบวนการสอบสวนมันมีขั้นตอนอยู่แล้ว

ขณะที่ นางมาลา กล่าวว่า การขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และหลบเลี่ยงภาษีเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ ส่วนผู้ที่ซื้อสินค้าดังกล่าวไปใช้ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน หากเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะโทรศัทพ์มือถือ เมืาอใช้งานไปสักระยะก็อาจเกิดระเบิดหรือไฟไหม้ได้ อีกทั้ง ยังไม่สามารถเรียกค่าเสียหายจากเจ้าของสินค้าได้ ทั้งนี้ ในส่วนของเจ๊ ฮ. นั้น เบื้องต้นทราบว่าไม่ใช่คนในประเทศ แต่เป็นคนที่ส่งสินค้าเข้ามาขายในประเทศ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน