เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่รัฐสภภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณารับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญ (เดือนต.ค.-ธ.ค.2562) ต่อจากเมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่มีการขอนับองค์ประชุม และปรากฏว่าองค์ประชุมไม่ครบจนสภา ล่มนั้น

นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุมแจ้งว่า จากการประชุมสภาเมื่อวันที่ 8 ก.ค.ซึ่งองค์ประชุมไม่ครบ จนต้องสั่งปิดการประชุมนั้น วันนี้จึงขอประกาศจำนวนสมาชิกที่เข้ามาลงชื่อขณะนี้จำนวน 443 คน ถือว่าครบองค์ประชุม จึงขอดำเนินการประชุมต่อ

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายว่า ระเบียบวาระนี้ตนอภิปรายไปแล้วว่าไม่ขอรับทราบรายงานฉบับนี้ และเมื่อวันที่ 8 ก.ค. ก็ได้ตรวจสอบองค์ประชุมเพื่อให้เห็นว่าสภามีความสำคัญ ไม่ใช่สภาตรายาง แต่สภากลับแสดงภาพที่ไม่พร้อมให้ฝ่ายบริหารตำหนิได้

ดังนั้น วันนี้ถ้าเอาระเบียบวาระดังกล่าวเข้ามาพิจารณาอีก ตนในฐานะตัวแทนฝ่ายค้านจึงไม่สามารถที่จะรับทราบรายงานฉบับนี้ได้ แต่ถ้าหากเสียงข้างมากจะดำเนินการไปตามระเบียบวาระนั้น พวกตนก็ไม่ว่า แต่พวกตนขอไม่อยู่รับทราบในวาระนี้

อย่างไรก็ตาม หากเสร็จจากการพิจารณาในวาระนี้แล้ว พวกตนยินดีที่จะกลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิม จึงขออนุญาตออกจากห้องประชุม จากนั้น ส.ส.ฝ่ายค้านได้ทยอยเดินออกจากห้องประชุมทันที

แม้ว่านายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล จะพยายามชี้แจงขั้นตอนและหลักการในการรับทราบรายงานว่าเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย แต่ฝ่ายค้านยังยืนยันจะไม่ขออยู่รับทราบรายงานฉบับนี้ ในที่สุดที่ประชุมสภาจึงเข้าสู่การพิจารณาตามระเบียบวาระต่อไป

จากนั้น นายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา อภิปรายว่า มีคำถามเบื้องต้นว่า ทำไมกรรมการปฏิรูปประเทศไม่มาร่วมรับฟังความเห็นจากสภา มีแต่ตัวแทนสภาพัฒน์ จึงเรียกร้องให้เชิญกรรมการปฏิรูปมาร่วมรับฟังด้วย

อย่างไรก็ตาม สถานะของคณะกรรมการฯ แต่ละชุดเพิ่งจะเริ่มนับหนึ่ง แม้จะผ่านมาแล้วเกือบ 3 ปีเพราะกรรมการลาออกกันเยอะ บางคณะทำงานไม่ได้ ซึ่งครม.เพิ่งแต่งตั้งไปแทน พร้อมๆกับตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศขึ้นใหม่อีก 2 คณะ

คือ ด้านการศึกษา กับด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงานและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งดูจากรายชื่อแล้วเห็นว่ามีความหลากหลาย แม้จะช้าไป 2 ปีแต่ก็ยังดีกว่าไม่มา จะรอดูผลงานกันต่อไป ส่วนความก้าวหน้าของการปฏิรูปในภาพรวมเกือบทุกด้านตามรายงานนั้น

ตนคิดว่าโครงการต่างๆ ที่ปรากฏเป็นนามอธรรม ไม่อาจวัดผลสมฤทธิ์เป็นรูปธรรมได้ อย่างการปฏิรูปด้านการเมือง ถือว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ เพราะจะเป็นปัจจัยนำไปสู่ผลด้านลบต่อการพัฒนาประเทศ

“เหตุที่ไม่มีความก้าวหน้าอาจมาจากเหตุที่กรรมการปฏิรูปลาออกไปเป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรี จนเหลือเพียง 2 คนมานาน ประชุมไม่ได้ ขณะนี้มีปัจจัยท้าทายการปฏิรูป 2 เรื่องต้องแก้ไข

1.แก้ไขปัญหาเร่งด่วนฉุกเฉินเฉพาะหน้า ควรปรับปรุงแผนการให้สอดคล้องกับสภาวการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะแผนงานด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ สังคม และการบริหารประเทศ ต้องจูนใหม่เพื่อให้สอดรับ ซึ่งในพ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศ มาตรา 13 เปิดช่องให้แก้ไขได้ จึงเสนอให้แก้ไขทำให้สอดคล้อง เชื่อว่ายังทัน ไม่ช้าเกินไป

2.ควรแก้ไขปัญหาสภาวะสำคัญของสถานะการปฏิรูป ตามรัฐธรรมนูญ โดยกเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 โดยส่วนตัวให้คงหมวดนี้ไว้ แล้วปรับปรุงกลไกเสียใหม่ทั้งหมด และยังขอให้ขยายการรายงานต่อสภาออกไปเป็นทุก 6 เดือนแทน 3 เดือนที่เป็นไปไม่ได้ในเชิงบริหาร จนทำให้รัฐบาลกับฝ่ายค้านผิดใจกัน” นายนิกร กล่าว

ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า การเสนอรายงานฉบับนี้ตามมาตรา 270 มีข้อถกเถียงในหมู่ส.ส.จำนวนมาก ว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะการรายงานตามมาตรา 270 ต้องรายงานต่อรัฐสภาทุกเดือน

แต่การรายงานครั้งนี้เป็นรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น จึงมีข้อสงสัยว่าชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ และการกำหนดให้รายงานทุก 3 เดือนนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากมาก ซึ่งคนเขียนรัฐธรรมนูญไม่เข้าใจบริบทการทำงานของสภาผู้แทนราษฎร

การเขียนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จึงไม่ต่างอะไรกับโลงศพ คนทำไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ทำ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เช่นเดียวกัน คนเขียนไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้เขียน จึงมีความลักลั่นในขณะนี้ ส่วนการรายงานความคืบหน้าแผนการปฏิรูปประเทศ 12 ด้าน ไม่จำเป็นต้องปฎิรูปให้เสียเวลา

เพราะสาระสำคัญของการปฏิรูป หรือหัวใจของการปฏิรูปประเทศ อยู่ที่รัฐธรรมนูญ ถ้าปฏิรูปรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยตามหลักสากล ก็ครอบคลุมการปฏิรูปทุกด้าน ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะต้องปฏิรูปในหลายด้าน แต่หัวใจสำคัญที่สุดที่ต้องปฏิรูปคือการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองของ ส.ส. คือหมวดคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.)

ซึ่งเป็นปราการด่านแรก ที่จัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่เมื่อ กกต.ชุดนี้ล้มเหลวในการจัดการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 มีการเลือกตั้ง 350 เขต มีการซื้อเสียงอย่างมโหฬาร แต่ กกต.ไม่สามารถให้ใบแดงกับผู้สมัครคนใดได้เลยแม้แต่คนเดียว ให้ได้แค่ใบเหลืองแก่ผู้สมัคร 2 เขตเลือกตั้งเท่านั้น

เมื่อการเข้าสู่ตำแหน่งของ ส.ส.ไม่สุจริต ทำให้การเข้าสู่ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ที่ต้องใช้เสียงโหวตจากส.ส.รวมกับส.ว.ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก คสช. 250 คน เพื่อมาเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี เมื่อเป็นเช่นนี้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงเป็นหวยล็อก เปรียบเสมือนไฮโลเปิดถ้วยแทง

ดังนั้น การปฏิรูปการเมืองจึงเป็นแค่วาทกรรม ทั้งที่มีการเรียกร้องให้ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนถึงบัดนี้ผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว ก็อย่าคาดหวังเรื่องการปฏิรูป เพราะ สมัย คสช.มีมาตรา 44 อยู่ในมือ ยังไม่สามารถปฏิรูปอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน แม้แต่การปฏิรูปตำรวจก็ยังรอให้ปฏิรูปหลังการเลือกตั้ง ซึ่งไม่มีความเป็นไปได้ ต้องรอชาติหน้าตอนบ่ายๆ ถึงจะสำเร็จ

“ฉะนั้นการปฏิรูปเป็นได้แค่วาทกรรมไม่สามารถเป็นจริงได้ เมื่อการปฏิรูปที่เป็นวาทกรรมล้มเหลว ตอนนี้ก็มาเป็นการปฏิรูปแค่พิธีกรรม นั่นคือการรายงานความคืบหน้าแผนการปฏิรูปประเทศต่อสภาเพื่อรับทราบอยู่ในขณะนี้ จึงเป็นพิธีกรรมตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น” นายเทพไท กล่าว

ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 8.50 น. นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการประชุมสภาฯล่มเมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า

ฝ่ายค้านได้ให้รัฐบาลถอนรายงานการปฏิรูปประเทศ เพื่อนำกลับไปทบทวนใหม่ และหากยังเสนอเข้ามาใหม่อีก ฝ่ายค้านจะพิจารณาว่าคงร่วมประชุมด้วยไม่ได้ โดยจะให้ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลพิจารณาไปฝ่ายเดียว หากฝ่ายค้านยังเข้าร่วมประชุมจะเป็นการประชุมที่มีข้อกังขาว่ารายงานดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะหลักใหญ่ที่ใช้พิจารณาเมื่อวันที่ 8 ก.ค.คือ

  • 1.ไม่มีการปฏิรูป เป็นรายงานเท็จ
  • 2.ในตัวรายงานขัดต่อรัฐธรรมนูญ
  • 3.วัดใจส.ส.รัฐบาลว่าแม้แต่ ส.ส.รัฐบาลเองก็ยังไม่เข้าร่วมพิจารณา

ดังนั้น หากรัฐบาลนำรายงานดังกล่าวกลับไปแก้และทบทวน ปัญหาทุกอย่างจะจบ

“องค์ประชุมเป็นความรับผิดชอบของทั้งสภาก็จริง แต่รัฐบาลต้องรับผิดชอบก่อน ซึ่งเป็นอย่างนี้มาตลอด มิเช่นนั้นเสียงข้างมากก็ไม่รู้จะมีประโยชน์อะไร ขอย้ำว่ารัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบก่อน” นายสุทิน กล่าว

เมื่อถามว่าการทำงานเช่นนี้จะทำให้ฝ่ายค้านเสียหายหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ฝ่ายค้านจะเสีย ถ้าเราใช้วิธีนี้โดยไม่มีเหตุผลประกอบ ถ้าเรื่องที่ไม่มีเหตุผลแล้วเราไปนับองค์ประชุม ชาวบ้านก็จะเสียประโยชน์

ดังนั้น ฝ่ายค้านจะเลือกเอาเรื่องที่มีเหตุมีผล อย่างเช่นกรณีเมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ฝ่ายรัฐบาลไปคิดเรื่องการปฏิรูปกันจริงๆ เราไม่ใช้การนับองค์ประชุมพร่ำเพรื่อ แต่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนจริงๆ


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน