สรุป 5 มาตรการเข้ม 14 วัน ของ ศบค. จำกัดเดินทางข้ามจว. งดออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น ขอให้ wfh ระบบขนส่งสาธารณะ ปิดเวลา 23.00-03.00 น. ปิดห้าง-สถานที่เสี่ยง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 ก.ค.2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 9/2564 ผ่านระบบวิดีโอทางไกล โดย ศบค.ชุดเล็ก ได้เสนอแผนมาตรการเข้มข้นในการควบคุมการระบาดโควิด ซึ่งมียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
รายงานข่าวในที่ประชุม ศบค. เผยว่า เบื้องต้นที่ประชุมกำหนดระยะเวลายกระดับมาตรการ 14 วัน จำกัดการเดินทาง ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (10 ก.ค.)เป็นต้นไป โดยมีผลเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑล 6 จังหวัด พร้อมกำหนดเป้าหมายลดผู้ป่วยภายใน 2-4 สัปดาห์ ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้ขยายพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปอีก 2 เดือน คือส.ค.-ก.ย.
รายงานข่าว เผยว่าที่ประชุม ศบค. เห็นชอบตามข้อเสนอยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรค โควิด-19 สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล รวม 6 จังหวัด (นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร)
โดยให้ยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโควิด-19 ยึดหลักการ ดังนี้ 1.จำกัดการเดินทางของประชาชนทั้งออกจากบ้านและข้ามจังหวัด 2.ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรค 3.เร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุผู้มีโรคประจำตัวผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 4.ปรับระบบบริการตรวจคัดกรองและรักษาพยาบาลให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 5.เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานในภาครัฐและเอกชนภาคประชาสังคมภาคประชาชน
โดยแยกเป็นรายละเอียดดังนี้
1.จำกัดการเดินทางของประชาชนทั้งออกจากบ้านและข้ามจังหวัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
-ขอให้เวิร์ก ฟอร์ม โฮม (WFH) ให้มากที่สุด ยกเว้นงานบริการประชาชนและงานที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค
-ขอความร่วมมือจากประชาชนงดการเดินทางโดยไม่จำเป็น ยกเว้นการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภค การไปโรงพยาบาล ฉีดวัคซีนหรือมีความจำหรือมีความจำเป็นที่จะต้องออกไปทำงาน
-จำกัดการเดินทางข้ามจังหวัด
-ขอความร่วมมือผู้ประกอบการลดการจัดบริการยานพาหนะของ ขนส่งสาธารณะที่ต้องเดินทางจากพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลทั้งบกและอากาศการขนส่ง ยกเว้นการขนส่งสินค้า
-ลดการรวมตัวทำกิจกรรมร่วมกันทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน เช่น งดจัดอบรม งดจัดประชุม งดจัดสอบหรือกลับเข้าสถานศึกษา
2.ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรค ได้แก่
-ปิดสถานที่เสี่ยงการติดโรค เช่น นวดแผนโบราณ (ยกเว้นนวดเท้า) สปา สถานเสริมความงาม
-ร้านสะดวกซื้อ ปิดเวลา 21.00-04.00 น.
-ห้างสรรพสินค้า เปิดได้เฉพาะร้านอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร ร้านเครื่องมือสื่อสาร ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ โดยเปิดได้ถึงเวลา 21.00 น.
-ร้านอาหาร เปิดขายได้แต่ห้ามบริโภคในร้าน ห้ามจำหน่ายสุรา เปิดได้ไม่เกิน 21.00 น.
-ระบบขนส่งสาธารณะ ปิดเวลา 23.00-03.00 น.
-กำหนดปิดสวนสาธารณะ เวลา 21.00 น.
3.ปรับแผนการฉีดวัคซีนไปต่างจังหวัด และระดมการฉีดวัคซีนที่มีอยู่ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุและโรคเรื้อรังในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
4.ปรับระบบบริการบริการตรวจคัดกรองและรักษาพยาบาล ให้กรุงเทพมหานครและจังหวัดเร่งเพิ่มบริการตรวจคัดกรอง และปรับระบบการบริการรักษาพยาบาลโดยเร่งให้มีการจัดบริการแบบ โฮม ไอโซเรชั่น และคอมมูนิตี้ ไอโซเรชั่น ให้เหมาะสมและเพียงพอกับสถานการณ์และเชื่อมโยงกับหน่วยบริการปฐมภูมิ เช่น คลินิกบริการอบอุ่น ศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร โดยมี สปสช. ในการจัดบริการ รวมทั้งให้หน่วยบริการจัดช่องทางด่วนในการตรวจคัดกรองและรักษาให้กับกลุ่มผู้สูงอายุผู้มีโรคประจำตัวและโรคเรื้อรัง
5.เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐเอกชนภาคประชาสังคมและประชาชนในการป้องกันตนเองตรวจคัดกรองและดูแลรักษาพยาบาล
ดังนี้ ขอความร่วมมือให้ประชาชนทุกคนเน้นมาตรการป้องกันส่วนบุคคล สวมหน้ากากอนามัย งดคลุกคลีใกล้ชิดกัน หรือรับประทานอาหารร่วมกันทั้งในบ้านและสถานที่ทำงาน, เน้นย้ำทุกหน่วยงานและผู้ประกอบการ ดำเนินการกำกับติดตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคลในสถานประกอบการหรือสถานที่ทำงาน, สร้างการมีส่วนร่วมขององค์กรชุมชน ภาคประชาสังคมในการจัดบริการในการจัดบริการตรวจคัดกรองและดูแลรักษาพยาบาล
ทั้งนี้ รอการแถลงของ ศบค.อย่างเป็นทางการอีกครั้ง