ตร.ล่ามือเผาป้อมตำรวจ เผยจนท.โดนยิง-เจ็บ 8 ลั่นทำตามยุทธวิธี-ไม่ทำร้ายประชาชน ลั่นใช้กระสุนยาง-แก๊สน้ำตา พิจารณาแล้วถ้าไม่ดำเนินการ อาจเสียหายรุนแรงมากกว่านี้

เมื่อวันที่ 11 ส.ค.64 ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. โฆษก บช.น. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผบช.น. ร่วมแถลงสรุปสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ทางการเมือง เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา

พล.ต.ท.ภัคพงศ์ เปิดเผยว่า กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมได้ชักชวนร่วมชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ตั้งแต่เวลา 13.00 น. ของวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา ก่อนเริ่มชุมนุมเจ้าหน้าที่สืบทราบว่ามีกลุ่มบุคคลนำอาวุธหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น ลูกแก้ว ลูกเหล็ก พลุ ระเบิดปิงปอง รวมถึงสิ่งนำมาเป็นอาวุธได้แจกจ่ายให้กับผู้ชุมนุม ส่วนผลจากการตั้งจุดตรวจพบวัตถุหลายรายการ อาทิ หนังสติ๊ก ลูกแก้ว ลูกเหล็ก หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมมารวมกันบริเวณแยกราชประสงค์ การกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตำรวจจราจรออกใบสั่งจราจร ระหว่างดำเนินการมีกลุ่มคนกดดันเจ้าหน้าที่และคุกคาม

ต่อมากลุ่มบุคคลเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์และรถยนต์ โดยทำผิดพ.ร.บ.ทางบก ไปถึงจุดแรกคือหน้าตึกซิโน-ไทย พระราม 9 แยกอสมท. คิงพาวเวอร์ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่เห็นว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีรวมตัวกันจำนวนมากและดำเนินการส่งผลกระทบกับประชาชน เจ้าหน้าที่จึงรักษาพื้นที่ไว้ ทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วนขว้างปาสิ่งของใส่บริเวณดังกล่าว

หลังจากเวลา 17.00 น. มีกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนเดินทางไปบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ทำกิจกรรมบริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ตำรวจพิจารณาหากชุมนุมกันบนถนนวิภาวดี จะสร้างคงามเดือดร้อนให้ประชาชนและอาจเกิดเหตุลุกลามไป เจ้าหน้าที่จึงตั้งแนวไว้บริเวณนั้นให้กลุ่มผู้ชุมนุมรับทราบว่าเป็นพื้นที่ควบคุม ปรากฏว่าผู้ชุมนุมเริ่มใช้หนังสติ๊ก ระเบิดปิงปอง ประทัดยักษ์และพลุ เริ่มยิงใส่เจ้าหน้าที่ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่พยายามรักษาแนวความสงบ โดยยิงแก๊สน้ำตาไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าใกล้พื้นที่ควบคุม จนกระทั่งใกล้เวลา 19.00 น. มีกลุ่มบุคคลเผาป้อมตำรวจบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง และเผาสถานีตำรวจย่อยบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ออกนอกแนว เพื่อดับไฟ

“ตั้งเวลา 17.00 น. จนถึงเวลาที่ตำรวจจะเคลื่อนกำลังเพื่อออกจากการตั้งแนวนั้น ได้ประกาศให้ทราบว่าการชุมนุมเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ผลการปฏิบัติจับกุมผู้ต้องหาได้ 48 ราย เป็นชาย 45 คน หญิง 3 คน เป็นเยาวชน 15 คน พร้อมยึดรถจักรยานยนต์ 122 คัน ซึ่งรถจักรยานยนต์อยู่ระหว่างการตรวจสอบ เพราะมีอยู่จำนวนหนึ่งไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนและเอกสารประจำรถ ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดี ส่วนตำรวจบาดเจ็บ 9 นาย มี 1 นายถูกยิงที่ต้องขาเหนือเข่าซ้าย ส่วนที่เหลือบาดเจ็บอีก 8 นาย ได้รับบาดเจ็บจากระเบิดปิงปองและพลุ” ผบช.น.กล่าว

พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าวอีกว่า ยืนยันการตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตา รถฉีดน้ำหรือกระสุนยาง พิจารณาแล้วถ้าไม่ดำเนินการ อาจมีความเสียหายรุนแรงหรือเกิดผลกระทบมากกว่านี้ เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามขั้นตอน วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ใช้วบคุมฝูงชน ยืนยันตำรวจไม่มีเจตนาทำร้ายกลุ่มผู้ชุมนุม เพียงแต่จะรักษาความสงบเรียบร้อยและบังคับใช้กฎหมาย

ส่วนการชุมนุมพบมีการใช้กระสุนจริงเกิดขึ้นจะต้องปรับยุทธวิธีอย่างไรนั้น พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ดำเนินการตามสถานการณ์ เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นเป็นเจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินการ ส่วนการตรวจสอบระเบิดปิงปอง เป็นสาเหตุเพลิงไหม้อย่างไรนั้น ตรวจสอบพบชิ้นส่วนบริเวณรอบการชุมนุม มีวัตถุอื่นๆ อาทิ ลูกแก้ว ลูกเหล็ก สะเก็ดภายในตู้จราจรที่เกิดเพลิงใหม้ สิ่งที่ทำให้เกิดวัตถุระเบิด ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกลุ่มบุคคลที่วางเพลิงดังกล่าวมาดำเนินตามกฎหมาย ส่วนลักษณะการกระทำที่ป้อมตำรวจจนเกิดเพลิงไหม้ เป็นการเผาหรือโยนระเบิดเข้าไปนั้น ตามที่ปรากฏภาพ ยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้

ส่วนกรณีมีคลิปทางโซเซียลให้นักข่าวไปอยู่แนวหลัง และมีตำรวจกล่าวประมาณว่าเหตุเริ่มบานปลาย ขอให้พวกพี่ได้สนุกกันหน่อย ผบช.น. กล่าวว่า ยังไม่เห็นคลิปดังกล่าว แต่ปกติเจ้าหน้าที่มีเจตนารักษาความสงบเรียบร้อย พยายามกันสื่อมวลชนหรือประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องออกด้านนอกพื้นที่ชุมนุม เนื่องจากมีการก่อเหตุความรุนแรง ส่วนกรณีมีแก๊สน้ำตาเข้าไปยังบ้านประชาชนนั้น ยืนยันเจ้าหน้าที่ไม่มีเจตนาจะเข้าไปทำร้ายประชาชน อาจจะเป็นจังหวะเจ้าหน้าที่พยายามเข้ารักษาความสงบเรียบร้อย

ด้านพล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า กรณีมีผู้โพสต์เฟกนิวส์เกี่ยวกับการชุมนุมเมื่อวันที่10 ส.ค. ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่และภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือการนำภาพผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไปโพสต์ประกอบข้อความว่า เด็กช่างกลถูกยิงเสียชีวิต 1 คน ในเหตุการณ์ร่วมชุมนุม จากการตรวจสอบพบว่าภาพดังกล่าวเป็นรูปผู้ตายขี่รถจักรยานยนต์ชนท้ายรถกวาดขยะของกทม. เสียชีวิตเชิงสะพานพระปกเกล้า ซึ่งตำรวจ สน.บุปผาราม รตรวจสอบและส่งศพไปพิสูจน์ที่รพ.ศิริราช ผลพบว่าเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจริง ไม่ได้เกิดจากการถูกยิงเสียชีวิตตามที่มีการโพสต์

ส่วนเรื่องที่ 2 คือการนำคลิปภาพตำรวจทุบรถประชาชนมาโพสต์ในโซเชียล กล่าวอ้างว่าเป็นพฤติกรรมของเจ้าหนาที่ควบคุมฝูงชนในการชุมนุมเมื่อวาน จากการตรวจสอบพบว่าภาพดังกล่าวเป็นเหตุการณ์การชุมนุมเมื่อปี 2556

พฤติกรรณดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา14 นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ไม่เกิน 5 ปี ไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งในส่วนนี้อยากฝากไปถึงผู้ที่โพสต์ และแชร์ข้อความดังกล่าว ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย

ส่วนคลิปภาพที่มีการแชร์กันในโซเชียลที่เจ้าหน้าที่คบคุมฝูงชนพยายามที่จะเข้าไปควบคุมชายวัยรุ่นคนหนึ่ง ซึ่งมีข้อความประกอบคลิปว่าเจ้าหน้าที่ทำร้ายประชาชนนั้น พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า ภาพดังกล่าวนั้นเจ้าหน้าที่กำลังเข้าไปควบคุมตัวผู้กระทำความผิด และเป็นไปตามยุทธวิธี ยืนยันไม่ได้ทำร้ายร่างกาย แต่ผู้โพสต์คลิปดังกล่าวมีเจตนาไม่ดี เพราะต้องการให้ประชาชนเข้าผิดว่าตำรวจให้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน