กรมสุขภาพจิต เผยอ้างเป็น “ผู้ป่วยจิตเวช” เพื่อเว้นโทษก่อคดีไม่ได้ ต้องพิสูจน์ทางนิติจิตเวชว่าป่วยทางจิต ส่งผลต่อการรู้ผิดชอบ ควบคุมตนเองหรือไม่

เมื่อวันที่ 22 ส.ค.65 พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงกรณีผู้กระทำความผิดอ้างเป็นผู้ป่วยจิตเวชขอละเว้นการรับโทษตามกฎหมายว่า ส่วนมากแล้วผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตทั่วไประดับที่ไม่รุนแรง แม้มีความเสี่ยงในการทำร้ายตัวเองสูงกว่าคนทั่วไป แต่ความเสี่ยงในการทำร้ายผู้อื่นมักไม่ต่างจากสถิติในประชากรโดยรวม

การด่วนสรุปว่าคดีสะเทือนขวัญต่างๆ เกิดจากปัญหาสุขภาพจิตทั่วไปเพียงอย่างเดียวนั้น อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ความตื่นตระหนกและอาจสร้างตราบาปต่อผู้ที่กำลังบำบัดรักษาด้านสุขภาพจิตอยู่ในสังคม เพราะในทางปฏิบัติความเจ็บป่วยทางจิตที่จะมีผลต่อการรับโทษ เขียนไว้ชัดเจนในประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 65 ซึ่งผู้ใดกระทำความผิด ในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น

แต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น เพียงแต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ในความผิดนั้น

“นั่นหมายถึงต่อให้มีใบรับรองว่าป่วยทางจิต หรืออยู่ในกระบวนการรักษา ก็ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าความเจ็บป่วยนั้น ส่งผลต่อความสามารถในการรู้ผิดชอบ หรือการควบคุมตนเองมากน้อยแค่ไหน เช่น ผู้ป่วยโรคจิตเภทที่รักษาจนบรรเทาแล้วไปก่อคดีฆาตกรรม ก็ไม่สามารถนำมาใช้เป็นเหตุยกเว้นการรับโทษหรือรับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ ซึ่งการตรวจประเมินทางนิติจิตเวชทางการแพทย์เป็นกระบวนการหนึ่ง ศาลจะนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณา” พญ.อัมพร กล่าว

ด้าน นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผอ.สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ กล่าวว่า พ.ร.บ.สุขภาพจิต กำหนดเพื่อคุ้มครองประชาชนทั่วไป หากพบผู้ต้องสงสัยเป็นผู้ป่วยจิตเวชหรือมีความผิดปกติทางจิต มีภาวะอันตรายหรือจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา สามารถดำเนินการตามมาตรา 26 คือ

กรณีฉุกเฉินหากได้รับแจ้งว่ามีบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิต หรือพบบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตซึ่งมีภาวะอันตรายและเป็นอันตรายใกล้จะถึง ให้นำผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตส่งสถานพยาบาล เพื่อให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยอาการ








Advertisement

โดยบุคคลที่สามารถนำตัวผู้ป่วยส่งสถานพยาบาลได้ ได้แก่ 1.พนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น แพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นักสาธารณสุข 2.พนักงานฝ่ายปกครอง เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ ปลัดอำเภอ และ 3.เจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนกรณีที่พบบุคคลที่มีอาการทางจิต แต่ยังไม่ได้กระทำความผิด เช่น เดินพูดคนเดียว บุคคลทั่วไปสามารถแจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้นำตัวส่งสถานพยาบาลตามมาตรา 24 อีกด้วย

“ขอสังคมให้ความสนใจต่อเรื่องปัญหาด้านสุขภาพจิต อย่างตระหนักแต่ไม่ตระหนกหรือวิตกกังวลมากจนเกินไป เนื่องจากเหตุโศกนาฏกรรมที่เชื่อมโยงกับผู้ป่วยจิตเวชเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ขอให้เชื่อมั่นในการตรวจประเมินทางนิติจิตเวชที่จะสร้างความยุติธรรมให้กับทุกฝ่ายในสังคม

ซึ่งหากประชาชนพบบุคคลใกล้ชิด หรือบุคคลทั่วไปที่แสดงอาการผิดปกติหรือมีอาการกำเริบ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่หรือโทรขอคำปรึกษาที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 หากมีแนวโน้มความรุนแรงมากและเป็นอันตราย สามารถโทรแจ้งเหตุสายด่วนตำรวจ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นพ.ณัฐกร กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน