เมื่อวันที่ 2 พ.ย.คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา พร้อมด้วย นายณพ ณรงค์เดช ได้เปิดบ้านบุณยะจินดา สุขุมวิท 71 ร่วมแถลงข่าว พลิกปมคดีครอบครัว ‘ณพ ณรงค์เดช’ เปิดใจครั้งแรก หลังทนเงียบตลอดหลายปี พร้อมเปิดข้อมูลสำคัญหลังศาลตัดสินชนะคดีรวด ขณะที่ ‘คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา’เปิดข้อเท็จจริง ศาลยกฟ้องทุกคดี! เป็นผู้บริสุทธิคดีปลอมลายเซ็นและการปลอมเอกสาร ย้ำเป็นผู้ลงทุนหุ้นวินด์ที่แท้จริง

คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา พร้อมนายอภิวุฒิ ทองคำ ที่ปรึกษากฎหมาย เริ่มกล่าวถึงกรณีศาลยกฟ้อง คดีปลอมลายเซ็นและการปลอมเอกสาร ว่าในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะต้องออกมาแถลงข่าวใดๆ ที่ผ่านมาไม่ได้ออกมาพูดหรือให้ข่าวอะไร ก็เพราะต้องการความชัดเจนของกฏหมายและศาล บัดนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าดิฉันไม่ได้โกงใคร และไม่ได้ปลอมลายเซ็นต์ใครตามที่กล่าวหา

ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ข่าวที่ไ่ม่ครบถ้วน ทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด ดิฉันในวัย 70 ปีแล้ว ครอบครัวของดิฉันอยู่อย่างสงบ ร่มเย็นเป็นสุข และใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่ได้ต้องการอะไรของใคร วันหนึ่งเมื่อลูกมาขอความช่วยเหลือ ดิฉันก็ต้องช่วยเหลือ เพราะนพ เป็นพ่อของหลานสองคน และเป็นสามีของลูกสาว วันนั้นไม่มีใครให้ความช่วยเหลือเค้าเลย และไม่มีใครอยากยุ่งกับบริษัทนี้

ดิฉันเมื่อรักลูกรักหลานดิฉันก็ต้องรักลูกเขยด้วย วันนั้น ถ้าดิฉันไม่ไดซื้อหุ้นวินด์ฯ ไว้ บริษัทอาจถึงขั้นล้มละลาย เพราะธนาคารไทยพาณิชย์ ก็จะไม่ให้สินเชื่อ ณพ มาพูดกับดิฉันเป็นคนสุดท้ายเพื่อจะมาขอความช่วยเหลือ ดิฉันจึงตัดสินใจว่าดิฉันจะให้ความช่วยเหลือแต่มีเงื่อนไขว่าแม่จะไม่ออกหน้านะ ขอให้ณพหาคนที่ไว้ใจได้มาใส่ชื่อแทนแม่ ซึ่งดิฉันก็ไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์วุ่นวายจะเกิดขึ้น

เมื่อวินด์ฯ พ้นวิกฤติและทำรายได้ปีละหลายพันล้านบาท เมื่อนั้นคดีความต่างๆ การกล่าวหาก็มา เพื่อต้องการอยากได้หุ้น ถ้าคุณลงทุน คุณก็ได้หุ้น ถ้าคุณไม่ลงทุน คุณย่อมไม่มีสิทธิ์ อันนี้เป็นข้อที่ชัดเจน เมื่อคุณไม่ได้ลงทุนแต่อยากได้หุ้น เมื่อไม่ได้หุ้นก็เบี่ยวเบน หลักฐาน ความจริง การเงิน ทุกอย่างเรามีครบ ไม่ใช่พูดไปเรื่อย พูดไม่ครบประโยคไม่ครบเรื่อง

พูดเพียงบางส่วนทำให้คนอื่นได้รับความเสียหาย ดิฉันขอให้สังคมลองย้อนกลับไปถึงตอนนั้น บริษัทซึ่งไม่มีคุณค่า ไม่มีราคา ไม่มีใครอยากได้ ดิฉันขอยืนยันว่าดิฉันไม่เคยโกงใครและไม่ได้ปลอลายเซ็นต์ใคร ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าศาลได้พิกพากษษาออกมาทั้ง 3 ศาล ว่าดิฉันไม่ได้โกงและไม่ได้ปลอมลายเซ็นต์ใครอย่างที่กล่าวหา








Advertisement

จากนั้นนายอภิวุฒิ ทองคำ ที่ปรึกษากฎหมาย คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา กล่าวสรุปคำพิพากษาชนะคดีตลอด 6 ปีเต็ม โดยคดีที่ 1 – คดีฮ่องกง HCA 1525/2018 (ศาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกง) ซึ่งมีนายเกษม ณรงค์เดช เป็นโจทก์ ฟ้อง ซึ่งคำพิพากษา อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง โดยให้ชำระค่าใช้จ่ายในอัตราสูงสุด 70-80 ล้านบาทให้แก่จำเลย

ในกรณีจะมีการดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าใช้จ่ายต่อไป ส่วนคดีที่ 2 – คดีใช้เอกสารปลอม อ.2497/2561 (ศาลอาญา รัชดา) นายเกษม ณรงค์เดช เป็นโจทก์อ้างว่าตนเองในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด จำกัด ฟ้องคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา จำเลยที่ 1 ณพ ณรงค์เดชจำเลยที่ 2 และสุรัตน์ จิรจรัสพร จำเลยที่ 3 เรื่องความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ซึ่งศาลได้พิพากษายกฟ้อง

พยานผู้เชี่ยวชาญยันกันไม่อาจรับฟังเป็นยุติ ลายมื่อชื่อไม่ได้ผิดแผกแตกต่างให้เห็นชัดเจน ว่าเป็นลายมือชื่อปลอม อีกทั้งเงินช่วยเหลือจากครอบครัวก็เป็นเงินกู้ยืม ซึ่ง นายณพ รับผิดชอบภาระหนี้และการบริหารจัดการคนเดียว จึงไม่ใช่การร่วมลงทุนในความหมายของกฎหมาย พยานโจทก์รับฟังไม่ได้โดยปราศจากข้อสงสัย ว่าเอกสาร ทั้ง 3 ฉบับเป็นเอกสารปลอม

คดีที่ 3 – คดีเรียกทรัพย์คืน พ.1031/2562 (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้) นายเกษม ณรงค์เดช เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย 14 คน และมีจำเลยร่วมอีก 31 คน เมื่อปี 2562 เรื่องให้เรียกทรัพย์คืน (หุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด) โดย

คำพิพากษา โจทก์ขอถอนฟ้อง ไปเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2566 ซึ่งเรื่องนี้ โจทก็ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง หลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเพิกถอนการอายัตเงินปันผลของบริษัท วินด์ฯ โดยให้เหตุผลชัดเจนว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแม้หากฟังว่า นายเกษม ให้หุ้นดังกล่าวแก่ นายณพ การเรียกคืนจะต้องปรากฏว่า นายณพ ประพฤติเนรคุณ แต่ไม่ปรากฏเหตุว่าประพฤติเนรคุณ

คดีที่ 4 ผิดสัญญา เรียกทรัพย์คืน พ.978/2565 (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้)
โดยนายกฤษณ์ และนายกรณ์ ณรงค์เดช เป็นโจทก์ร่วมฟ้อง นายณพ ณรงค์เดช เป็นจำเลยที่ 1 บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด เป็นจำเลยที่ 2 บริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด จำกัด เป็นจำเลยที่ 3 และคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดาเป็นจำเลยที่ 4 เมื่อปี 2565

เรื่องสัญญาเพิกถอนนิติกรรม เรียกทรัพย์คืน โดยคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากโจทก์ทั้งสองไม่สามารถนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่า เอกสารดังกล่าวในการโอนหุ้นไม่เป็นเอกสารที่แท้จริง หรือเป็นพยานเอกสารที่รับฟังไม่ได้เพราะเหตุใด ข้อกล่าวอ้างต่าง ๆ เป็นการกล่าว อ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างข้อสันนิษฐานกฎหมาย

เมื่อโจทย์ก็สืบไม่ได้ จึงต้องฟังว่าการโอนหุ้นพิพาทหรือการซื้อหุ้นพิพาทมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ก็ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดไม่เป็นโมฆะ เรื่องความเห็นเจ้าของหุ้นของโจทก์ทั้งสอง เมื่อได้ความว่า เงินที่ซื้อหุ้นพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ทั้งสองและไม่ปรากฏว่าเอกสารที่อ้างเป็นเอกสารปลอม การโอนหุ้นพิพาทถูกต้องตามแบบของกฎหมาย จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของหุ้นพิพาท ไม่จำต้องโอนหุ้นคืนแก่โจทก์ทั้งสอง

คดีที่ 5 – คดีปลอมลายเซ็น อ.1708/2564 (ศาลอาญากรุงเทพใต้)
คดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้1) เป็นโจทก์ฟ้อง นายณพ ณรงค์เดช กับพวกรวม 3 คน เมื่อปี 2564 ในฐานความผิดร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม ร่วมกันปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม โดยคำพิพากษา ยกฟ้อง ศาลใช้ดุลพินิจรับฟังว่า เอกสารทั้ง 6 ฉบับปลอม

แต่ทางนำสืบและพยานหลักฐานรวมทั้งคำเบิกความของเกษมไม่มีข้อเท็จจริงใดที่ยืนยันว่า นายณพ คุณหญิงฯ และสุภาพร เป็นผู้ปลอม มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงลายมือชื่อหรือนำมาใช้หรืออ้างชื่อใด ซึ่ง นายกฤษณ์ ก็เบิกความว่า ไม่ทราบว่าใคร เป็นผู้ลงลายมือชื่อปลอม ส่วน นายกรณ์ก็เบิกความว่า ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ในขณะลงลายมือชื่อ จึงไม่ทราบว่า ผู้ใดลงลายมือชื่อ จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้ร่วมกันปลอมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการปลอม

ทางด้านนายนายณพ ณรงค์เดช กล่าวว่า เป็นเวลา 6 ปีแล้ว ที่มีบุคคล 2 กลุ่ม คือนายนพพรศุภพิพัฒน์ กับ พี่และน้อง คือนายกฤษณ์ และนายกรณ์ ณรงค์เดช ที่ได้ทำการเผยแพร่ให้ช่าวเกี่ยวกับที่พวกเขาได้ฟ้องคดีตนและคุณหญิงกอแก้ว โดยใช้วิธีการให้ข่าวที่เบี่ยงเบนประเด็นโดยไม่ให้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน ทำให้ผู้ติดตามข่าวเกิดความเข้าใจผิดว่าตนไปโกงนายนพพรและโกงพี่น้อง ซึ่งทำให้ตน คุณหญิงกอแก้ว ภรรยา และลูกๆ ตน เสื่อมเสียชื่อเสียงและได้รับผลกระทบมากมาย

โดยที่ตนเลือกที่จะไม่ตอบโต้ เพื่อรอให้ศาลพิพากษาครบทุกคดี รวมถึงเมื่อ31 ต.ค. ศาลแขวงพระนครใต้ ซึ่งเป็นคดีที่นายนพพร ได้ฟ้องตนและพวกรวม 14 คน ในคดีโกงเจ้าหนี้ เป็นคดีอาญา ซึ่งศาลได้ยกฟ้องจำเลยทุกคนเช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาเลือกที่จะไม่ตอบโต้เพื่อรอศาลพิพากษาให้ครบทุกคดี จึงค่อยออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อให้เกิดความชัดเจนของเรื่องราวที่เกิดขึ้น “ความจริงคืออะไร ใครกันแน่ที่โกง”

ทั้งนี้นายณพ ยืนยันว่า เงินจ่ายค่าหุ้นให้นพพร ก้อนแรก 90.5 ล้านเหรียญ ก้อนหลังอีก 85.75 ล้านเหรีญ รวมกันแล้ว 6 พันกว่าล้านบาท ซึ่งเงินส่วนน้อยที่กู้ยืมจากครอบครัว และมีการใช้คืนพร้อมดอกเบี้ยแล้ว ปัจจุบันเหลือหนี้ไม่ถึง 500-600 ล้านบาท ตามที่พี่ชายกล่าวอ้าง ซึ่งคำว่าลงทุนกับเงินกู้สะกดก็ไม่เหมือนกัน นัยยะก็ไม่เหมือนกัน ความหมายคนละเรื่อง มีสัญญากู้ชัดเจน พร้อมยืนยันด้วยว่าตระกูลณรงค์เดช ก็ไม่มีส่วนในการเซ็นต์คำ้ประกันในการจ่ายค่าหุ้นวินด์เลย กระทั่งการกู้เงินสำหรับใช้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมเอง ครอบครัวก็ไม่มีเซ็นต์ค้ำประกันเลย ยืนยันเป็นเงินที่ตนจัดหามาเองทั้งหมด

นายณพ กล่าวด้วยว่าเรื่องที่ตนเสียใจที่สุดคือการที่ คุณพ่อ (นายเกษม ณรงค์เดช) ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพียงเพราะมีคนต้องการผลประโยชน์จากหุ้นวินด์ฯ นอกจากนี้ตนและลูก ๆไม่ได้รับโอกาส ให้เข้าไปพบคุณพ่อตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะความขัดแย้งของพี่น้องแม้จะพยายามเข้าพบหลายรอบแล้วก็ตาม ซึ่งยังคงเฝ้ารอโอกาสที่จะได้เข้าพบคุณพ่อเสมอ

ปัจจุบันนี้ ธุรกิจที่มี 3 พี่น้อง กฤษณ์ ณพ และกรณ์ ณรงค์เดช เป็นผู้ถือหุ้นร่วมกันนั้น มีเพียงบริษัท เคพีเอ็น แลนด์ เท่านั้น โดยถือหุ้นคนละ 1 ใน 3 จนกระทั่งเกิดความขัดแย้งกันในเรื่องหุ้นวินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง ทำให้ตนถูกกันออกมา ไม่ได้ร่วมบริหารหรือร่วมตัดสินใจใด ๆ รวมทั้งการที่ บริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ด้วย ทั้งๆ ที่ตนถือหุ้น 1 ใน 3

นายณพ กล่าวด้วยว่าตนสนใจทำธุรกิจด้วยตัวเองเสมอมา เพราะเติบโตมากับคุณพ่อคุณแม่ที่ปลูกฝังและสอนให้ขยันทำมาหากินด้วยความสุจริต ซึ่งธุรกิจส่วนตัวปัจจุบันยังมีสถาบันดนตรีKPN ซึ่งเป็นธุรกิจที่รักและภูมิใจมาก เพราะได้ทำตามความปรารถนาของคุณแม่ (คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช) ซึ่งมี 26 สาขาทั่วประเทศ

นอกจากนี้ยังได้ร่วมทุนทำมีธุรกิจโรงพยาบาลนวเวชอีก 2 บริษัทด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อมีธุรกิจที่น่าสนใจ ตนจะชวนพี่กับน้องอยู่เสมอว่าสนใจร่วมลงทุนด้วยหรือไม่ เช่นเดียวกับที่ตนได้เข้าไปถือหุ้น วินด์ เอ็นเนอยี่ แต่ได้คำตอบว่าเพ้อฝันและปฏิเสธที่จะร่วมลงทุนด้วย ตนจึงเดินหน้าหาเงินทุนด้วยตนเอง เพราะเชื่อว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่มีอนาคต

อย่างไรก็ดีในช่วงท้ายทางด้าน นายวีระวงค์ จิตติ์มิตรภาพ ที่ปรึกษากฏหมาย ยังได้กล่าวชี้แจงกรณีศาลอังกฤษตัดสินให้ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ผู้ก่อตั้งวินด์ เอนเนอร์ยี่ และผู้ตัองหาคดี 112 ชนะคดีโกงหุ้นโรงไฟฟ้า โดยให้ นายณพ ณรงค์เดช และ พวกรวม 14 คนค่าชดใช้กว่า 3 หมื่นล้านบาท
มองว่า ศาลอังกฤษ กำลังล่วงละเมิดอำนาจตุลาการของไทยด้วยซ้ำ ทำไมไม่ปล่อยให้ศาลไทยตัดสิน ทั้งที่ศาลอังกฤษรู้ทั้งรู้ว่า มีคดีอาญาอยู่ที่ไทย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน