สาว เล่านาทีหนีตายจากขุมนรก ถูกคนรู้จักหลอกไปขาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลั่น ไม่ยอมทำ ถูกซ้อม-ไฟฟ้าชอร์ต บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เผย ยังไงก็จะไม่หลอกคนไทย
วันที่ 22 มี.ค.2567 น.ส.ปาย (นามสมมติ) อายุ 37 ปี เล่าถึงเหตุการณ์หลังถูกหลอกไปขายเป็นคอลเซ็นเตอร์ที่ปอยเปต ให้สัมภาษณ์กับ ‘ข่าวสดออนไลน์‘ ว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา คนรู้จักได้มาชักชวนให้ตนไปทำงาน “ติดต่อหาคนไทย ช่วยเรื่องการดำเนินการคดีความ” ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา
โดยบอกกับตนว่าทุกเดือนจะมีค่าแรงให้เดือนละประมาณ 20,000 บาท ตนเลยเดินทางจากบ้านเกิดที่ จ.เชียงราย มาที่กรุงเทพฯ ก่อนเดินทางต่อไปที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว หลังจากนั้นก็มีรถมารับไปที่ตึกแห่งหนึ่งมีลักษณะคล้ายกับโรงแรม แต่รั้วเป็นสังกะสี
ด้านในห้องทำงานจะมีโต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์ มือถือ มีคนอยู่ประมาณ 100 คน ก่อนจะมารู้ว่า จะได้เงินเดือนเฉพาะเดือนแรก เดือนต่อไปจะได้เป็นค่านายหน้า 6% ตอนนั้นตนคิดว่าโดนหลอกมาทำคอลเซ็นเตอร์แน่ ๆ
น.ส.ปาย เปิดเผยถึงลักษณะการทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ว่า เบื้องหลังของแก๊งคอลเซ็นเตอร์แก๊งนี้เป็นชาวจีน โดยมีชาวไทใหญ่ที่สามารถพูดทั้งภาษาไทย และภาษาจีนได้ คอยควบคุม โดยทุกคนต่างนั่งทำงาน เมื่อมีสายโทรศัพท์ดังขึ้น ก็พูดตามบทที่มีให้ และจะมีข้อมูลชื่อ เบอร์โทร เลขบัตรประชาชน
จากนั้นก็พูดตามบทโน้มน้าวให้เหยื่อหลงเชื่อว่า กำลังมีคนแอบอ้างทำธุรกรรม หรือดำเนินเรื่องทางราชการต่าง ๆ จากนั้นก็ขู่ให้ผู้เสียหายอยากจะแจ้งความ แล้วโอนสายไปให้อีกต่อหนึ่ง ซึ่งวิธีนี้เรียกว่า 3 คอล โดยก่อนเริ่มงานจะไม่มีการเทรนหรือซ้อมก่อน
ทั้งนี้ ในตึกที่ตนอยู่ก็จะเป็นประเภทเดียวกันหมด โดยจะแบ่งเป็นโซนแต่ละธนาคาร และแบ่งตามจังหวัดด้วย แต่สำหรับวิธีการหลอกลวงอย่างส่งลิงก์มาหลอกดูดเงินนั้น จะเรียกว่า “คอลดูด” ซึ่งจะทำงานคนละที่คนละตึกกัน
น.ส.ปาย เล่าต่อว่า เมื่อตนเห็นลักษณะการทำงาน จึงปฏิเสธที่จะทำงานตั้งแต่แรก แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับพูดกับตนว่า “มึงรู้มั้ยว่าเขาขายมึงมาให้กู 90,000 บาท ถ้ามึงไม่ทำ มึงต้องเอาเงินมาไถ่ตัว” ตอนนั้นตนได้แต่คิดว่าจะติดต่อคนที่แนะนำตนมาได้ยังไง ทำไมถึงมาหลอกกันขนาดนี้
และตนก็ไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาไถ่คืน เพราะตนก็มาทำงานหาเงิน ถ้ามีเงินตนก็คงไม่มา จากนั้นตนก็ถูกลงโทษให้ไปยืนยกเก้าอี้เหนือศีรษะกลางแดด ไม่ได้กินข้าวกินน้ำ หลังจากนั้นตนก็ถูกเพ่งเล็ง และถูกลงโทษทุก ๆ วัน ทั้งถูกซ้อม ถูกทำร้ายด้วยการเอาเก้าอี้ฟาด จนเก้าอี้แตก ถูกใช้ไม้หวายฟาด และถูกกระบองไฟฟ้าชอร์ต
ถึงแม้ตนจะยกมือไหว้ขอร้อง แต่พวกมันก็ไม่หยุด จนร่างกายช้ำเขียวไปทั้งตัว ถึงอย่างไรตนก็ยังปฏิเสธที่จะทำงานเพราะไม่อยากหลอกคนไทยด้วยกันเอง จึงใช้จังหวะที่พวกมันให้ท่องบท และคิดว่าคงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เลยสวดมนต์ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะบนว่า ถ้ามีคนมาช่วย จะบวชให้
น.ส.ปาย เล่าด้วยว่า ถ้าหากหนีแล้วถูกจับได้ก็จะถูกซ้อม ส่วนผู้หญิงที่เคยคิดจะหนีแล้วถูกจับได้ ก็ถูกขายต่อให้ไปเป็นโสเภณี อย่างตนเคยคิดหนี และไปบอกกับเพื่อนคนหนึ่งในนั้นว่าตนไม่อยากทำงาน แต่ปรากฏว่ามีคนไปฟ้องพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำให้ตนถูกซ้อมหนัก เลยคิดว่าที่นี่ไว้ใจใครไม่ได้ เคยเจอแต่โรงงานนรก แต่นี่มันยิ่งกว่านรกอีก
น.ส.ปาย เล่าว่า สภาพความเป็นอยู่ที่นี่นั้น ห้องนอน 1 ห้อง จะมี 10 คน แต่ละเตียงจะมีฟูก หมอน และผ้าห่มให้ มีแอร์ ส่วนห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม 1 ห้อง สำหรับเวลาเข้างาน ต้องเข้าก่อน 07.50 น. ส่วนอาหารจะมี 4 มื้อ แต่เวลาที่ไม่สบายจะไม่สามารถไปหาหมอได้
น.ส.ปาย เล่านาทีที่หนีตายว่า วันนั้น ตำรวจลงทลายกลุ่มคนร้ายพาแก๊งคอลเซ็นเตอร์หนี และอพยพไปเรื่อย ๆ ซึ่งตนคิดว่าจะต้องมีสิ่งที่สามารถยืนยันตัวตนได้ แต่โทรศัพท์และบัตรประชาชนก็ถูกยึดหมด ตนอาศัยจังหวะที่กำลังวุ่น ยัดพาสปอร์ตซ่อนไว้ในกางเกงใน ก่อนจะใส่กางเกงในซ้อนอีกชั้น และใส่กางเกงขายาวเพื่อไม่ให้ถูกจับได้
จนกระทั่งตอนที่กำลังกลับมาปอยเปต รถได้จอดและเปิดประตู จังหวะนั้นที่กำลังชุลมุน ตนและเพื่อนอีก 5 คน ได้วิ่งหนีมาขอความช่วยเหลือและจ่ายเงินแลกกับกลับไทย คนละ 2,500 บาท
น.ส.ปาย เล่าต่อว่า ตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์ คิดว่าไม่รอดแน่นอน เพราะตนไม่ยอมทำงาน กลุ่มคนร้ายจะชอบพูดว่า “มึงดื้อเหรอ” บางคนก็คิดว่าอาจจะไปตายที่นั่น เพราะโอกาสรอดน้อยมาก ใครจะรอดได้ ต้องทำตามเขาทุกอย่าง
อีกทั้งตนโดนทำโทษทุกวัน ๆ ไม่ได้คุยกับใคร ไม่ได้กินข้าวกินน้ำ ตนคิดว่า คงเหลือแต่ชื่อแน่ ได้แต่รอคอยความหวังให้เพื่อนมาช่วย เพื่อนจะไม่ทิ้งกัน ต้องมาช่วยแน่นอน แต่ก็ไร้วี่แวว
“ไทยทำไทย ไทยขู่ไทย ไทยหลอกไทย งานเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์ ไม่ว่าจะงานดีแค่ไหน ไม่อยากให้ไปทำ อย่าไว้ใจใคร เพราะขนาดตนยังถูกคนรู้จักหลอกไปเลย ก่อนที่จะเชื่อให้สืบข้อมูลให้ดีก่อน”
น.ส.ปาย เล่าว่า ก่อนหน้านี้ตนสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอาศัยอยู่กับพี่ชาย 2 คน อาชีพรับเหมาก่อสร้าง เวลาตนไปทำ พี่ชายก็จะให้ค่าแรง แต่รายได้ไม่พอกับภาระค่าใช้จ่าย ทำให้ต้องดิ้นรน พอมาเจอแบบนี้เหมือนกับหนีเสือปะจระเข้ บาปซ้ำกรรมซัด จนแล้วจนอีก ลำบากแล้วลำบากอีก
น.ส.ปาย เปิดเผยว่า หลังจากที่หนีออกมาได้ ตนได้เข้ามาพบมูลนิธิปวีณาฯ เพื่อขอความช่วยเหลือต่อไป